เป็นอีกหนึ่งนักแสดงชาวไทย ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ผลิตภาพยนตร์ในระดับสากล หลังจากฝากผลงานภาพยตร์จีนเรีอง “Black and White Spy” (สายลับสองหน้า) โดยร่วมแสดงกับเจิ้งจื่อเหว่ย ดาราเจ้าบทบาทของฮ่องกงไปเมื่อปี 2666
ล่าสุด ปราบต์ปฎล สุวรรณบาง ได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ทุนสร้างยิ่งใหญ่ของมองโกเลีย เรื่อง “THE Circle Of Death” เป็นภาพยนตร์ที่สร้างรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศมองโกเลีย และยืนรอบฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ 12 สัปดาห์ ก่อนที่จะถูกนำออกฉายทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ในชื่อเรื่อง “กระชากลากโคตร” และกำลังจะเข้าฉายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ตามโรงภาพยนตร์
ปราบต์ปฎล เปิดเผยความรู้สึกว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับโปรเจคภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ในฐานะนักแสดงคนไทย มีความภาคภูมิใจอย่างมากที่มีโอกาสได้แสดงศักยภาพด้านการแสดงกับทีมงานต่างประเทศ เพื่อจะได้เรียนรู้การทำงาน และยกระดับตนเอง ที่ผ่านมาก็ได้โอกาสการทำงานจากต่างประเทศ ส่วนในประเทศก็อย่างที่ทุกฝ่ายเข้าใจในสถานการณ์
ทั้งนี้ ปราบต์ปฎล ยังเปิดเผยถึงคดี “กู๋กี๋” ภรรยาเอี่ยว forex-3D สืบพยานโจทก์แล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ นั่งฟังสืบพยาน ไม่เห็นว่าภรรยาทำผิด รอวันศาลตัดสิน บอกคงเหมือน “เบนซ์ เรซซิ่ง” ติดคุกแต่ไม่ได้ผิด ตกงาน 2 ปีเยี่ยมภรรยาทุกวัน ไม่อายบอกภรรยาอยู่ในเรือนจำ ลั่นลูกสาวเรียนจบปริญญาตรีแล้ว อยู่กับแม่ของลูก ไม่แก้ข่าวทิ้งลูกทิ้งเมีย แต่โทร.หาคนให้ข่าว ให้ความจริงพิสูจน์เอง
เดินทางไปเยี่ยมภรรยา “กู๋กี๋ ภคมน สีลุน” ที่เรือนจำทุกวัน สำหรับนักแสดงหนุ่ม “ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง”หลังจากภรรยาตกเป็นผู้ต้องหาในคดี Forex-3D ต้องเข้าเรือนจำในระหว่างรอการตัดสินคดี โดยหนุ่มปราปต์ยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของภรรยา
“ผมก็ไปเยี่ยมที่เรือนจำทุกวัน ให้กำลังใจกัน เขาก็ปรับตัวได้ระดับหนึ่ง ทุกวันนี้สิ่งที่ทำได้ก็คือแค่รอให้ได้รับการตัดสินสักที อยากให้กระบวนการมันไปถึงขั้นตอนของการพิพากษา มันเป็นเรื่องที่เขาจะต้องพิสูจน์ตัวเอง เท่าที่มีการไต่สวนคดีมาแล้วเราไปนั่งฟัง
เราได้เห็นการสืบพยานโจทก์ไป 90 เปอร์เซ็นต์ จากที่เราไม่รู้จักเลยว่าธุรกิจนี้มันเป็นยังไง ไปนั่งฟังจนเริ่มรู้ว่ามันเป็นแบบนี้เหรอ เขาทำกันแบบนี้เหรอ คือน้องเขาเป็นจำเลยคนที่ 21 จริงๆ แล้วความเกี่ยวข้องกับคดีจะอยู่ที่ลำดับต้นๆ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีพยานคนไหนที่พูดพาดพิงถึงน้องเขาเลย
ผมว่าตอนนั้นแม้แต่คนทำธุรกิจก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าผิดหรือถูก แม้แต่เราไปนั่งฟังตอนนี้เรายังมองไม่ออกว่ามันผิดหรือมันถูก สิ่งที่เราหวังที่สุดอยากให้กระบวนการยุติธรรมมันเกิดขึ้นสักที ซึ่งจากที่ไปนั่งฟังผมยังไม่เห็นว่าเขาทำอะไรผิดเลยสำหรับตัวน้องเขานะ ผมยังไม่เห็นว่าเขาไปเกี่ยวข้องตรงไหน
ถามว่าเวลาที่ไปเยี่ยม บทสนทนาที่พูดคุยกันเป็นอย่างไร มันไม่ต้องพูดอะไรเยอะ การกระทำสำคัญกว่าคำพูด ผมบอกแล้วว่าในเมื่อผมเชื่อมั่นในตัวเขา แต่หน้าที่พิสูจน์มันต้องเป็นของเขา
ความยุ่งยากมันอยู่ตรงที่ว่าเขาถูกรวมกล่าวหา โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิด แต่ถ้าจะบอกว่าก็กินใช้เสวยสุข ผมว่าตรงนั้นมันต้องแยกให้ออกว่าการใช้ชีวิตในตอนที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีในฐานะของคนที่เป็นสามีภรรยา สิ่งใดที่สามีให้กินให้ใช้เลี้ยงดูเขาไม่รู้หรอกว่าการได้รับการเลี้ยงดูจากสามีมันจะเป็นเรื่องผิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็ต้องไปพิสูจน์ว่าเขาไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็กำลังอยู่ในขั้นตอนนั้นอยู่”
เชื่อมั่นไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
“เท่าที่ผมไปเยี่ยมทุกวันมันก็เป็นสิ่งที่เขายึดมั่นและมีกำลังใจที่ดี มันไม่ใช่แค่กำลังใจสำหรับเขา มันก็เป็นกำลังใจสำหรับผมด้วย การที่เข้าไปเชื่อมั่นใครสักคนที่เราเชื่อว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ความเชื่อมั่นในตัวเขาที่ผมเข้าไปมันต้องมีอุปสรรคขวากหนาม คลื่นที่มันซัดสาดมาโดนตัวผมที่จะต้องฟกช้ำดำเขียว อย่างที่ทุกคนทราบผลกระทบกับชีวิตผมมันก็เกิดขึ้นมาร่วม 2 ปีแล้ว ซึ่งก่อนที่จะมั่นใจที่จะเข้ามาร่วมชะตากรรมที่ไม่ได้ก่อ และผมก็เชื่อว่าเขาก็ไม่ได้ก่อ แต่ว่ามันไปเกี่ยวข้องผมคิดซะว่ามันเป็นวิบากกรรม ในเมื่อเราเชื่อมั่นในตัวเขา ถ้าเราไม่อยู่ข้างเขาแล้วใครจะอยู่ เพราะว่าสุดท้ายถ้าผมปล่อยมือเขา แล้วเขาจะสู้ยังไง ไม่เป็นไร เรายังอยู่ตรงนี้”
สองปีที่ผ่านมาเยี่ยมภรรยาทุกวัน ตกงาน 2 ปี
“สองปีกว่า วันไหนที่เรือนจำไม่ปิด ไม่ใช่วันหยุดนักขัตฤกษ์ ผมไปทุกวัน ส่วนของน้องก็สืบพยานโจทก์น่าจะ 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว พอเสร็จแล้วจะเป็นเรื่องของสืบพยานจำเลย แล้วศาลท่านก็ตัดสิน สืบพยานโจทก์ปีกว่าแล้ว ในส่วนของน้องคงต้องรอในเรื่องของการสืบพยานจนจบ
งานการผมอย่างที่เห็นตามข่าว ถามว่าผลกระทบยังไงบ้าง เห็นผมไปซ้อมละครเวทีที่รัชดาลัย แถลงข่าวไปเรียบร้อยสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนตัวผม หรือละครที่ผมถ่ายไปหลายๆ เรื่อง 4-5 คิวแล้วสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนตัว ทุกวันนี้ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้จัดก็ยังโทร.มาถามว่าจบหรือยังเรื่องของผมจะได้ให้ทำงานต่อ เพราะว่าผู้ใหญ่เมตตาผมตลอด ผมทำงานมา 30 ปี ไม่เคยขาดงาน ผมน่ารักกับสื่อนะ แต่ผมเป็นคนเก็บตัว ขี้อายไม่ค่อยคุยกับสื่อ ผมจะคุยเฉพาะเรื่องที่มันจำเป็น เราไม่ใช่วัยรุ่นที่มันจะเป็นกระแสข่าวเราก็เลยไม่ได้คุย อย่างที่ผ่านมามันกระทบชีวิตผม 2 ปีไม่ต้องทำงานแล้ว จะมีงานก็อย่างที่เห็น เป็นงานหนังต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่”