เจ้าอาวาสวัดขวางชัยภูมิ จ.อุตรดิตถ์ โร่แจ้งความดำเนินคดี  แก๊งมิจฉาชีพแต่งโปไฟล์เฟสบุ๊ค  หลอกนำรถตู้จากสภาทนายความถวายให้วัด สุดท้ายโดนหลอกปิดเฟสบุ๊คหนี ผกก.สภ.พิชัย เตรียมออกหมายจับแล้ว 

               ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  พระครูพิลาสธรรมสาร เจ้าอาวาสวัดขวางชัยภูมิ กล่าวเปิดเผยว่า ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.อ.คณิศร  ขุมเพ็ชร พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจพิชัย อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้ดำเนินคดีนายสังวร  คำมีเชื้อ ในข้อหาฉ้อโกงเงินไปเป็นจำนวนเงิน 53,080 บาท ผ่านสมุดบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ไม่ทราบว่าสาขา

               ทั้งนี้ สืบเนื่องจากมีบุคคลเป็นหญิงแต่งกายในชุดทนายความ อ้างตัวเป็นทนายความประจำศาลแห่งหนึ่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ติดต่อแชทเฟสบุ๊คผ่านโยมอุปถัมภ์ของทางวัดว่า ทางสภาทนาย ความมีความประสงค์จะบริจาครถยนต์ตู้ให้กับทางวัด หากวัดใดต้องการรถตู้ให้ติดต่อได้ เห็นว่าทางวัดขวางชัยภูมิยังไม่มีรถตู้ใช้งาน อยากให้ทางวัดได้มีรถยนต์ตู้ใช้งาน จึงได้แจ้งให้พระครูพิลาสธรรมสาร เจ้าอาวาสวัดขวางชัยภูมิ เจ้าคณะตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ รับทราบและติดต่อกันโดยตรง กับผู้หญิงที่แต่งกายชุดทนายความพร้อมรูปโปรไฟล์ติดอยู่บนหน้าเฟสบุ๊คนามว่า “ทนายเจนจิรา”

               อ้างว่า สภาทนายความ มีรถยนต์ตู้หลายคันมีความประสงค์จะถวายรถยนต์ตู้ให้กับวัดต่างๆทั่วประเทศ ในส่วนของพระครูพิลาสธรรมสาร เจ้าอาวาสวัดขวางชัยภูมิ มีความประสงค์ต้องการรถยนต์ตู้ จำนวน 4 คัน ให้กับวัดขวางชัยภูมิ 1 คัน วัดอื่นในพื้นที่อำเภอพิชัย 3 คัน รวมเป็น 4 คัน มีการโอนเงินผ่านเข้าสมุดบัญชีธนาคารนายสังวร  คำมีเชื้อ เพื่อจ่ายเป็นค่าดำเนินการเกี่ยวกับรถยนต์ตู้ พร้อมนัดส่งรถยนต์ให้ในวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมาที่วัดขวางชัยภูมิ แต่มีการเบี้ยวไม่ส่งมอบรถยนต์ตู้ให้ โดยมีหลักฐานการแชทไลน์และหลักฐานการโอนเงินส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวนเป็นหลักฐาน เพื่อนำตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีต่อไป

               พระครูพิลาสธรรมสาร เจ้าอาวาสวัดขวางชัยภูมิ กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากโยมอุปฐากวัดว่า มีทนายความนามว่า “เจนจิรา” จะนำรถยนต์ตู้มาถวายวัดขวางชัยภูมิ จำนวน 1 คัน มีเงินจ่ายล่วงหน้า จำนวน 3,800 บาท เนื่องรถยนต์ตู้ทะเบียดขาดมาเป็นเวลา 2 ปี จำเป็นต้องต่อทะเบียน สภาทนายความไม่มีเงินส่วนนี้ต่อทะเบียนให้ เพื่อความรวดเร็วขอเงินส่วนนี้เป็นค่าต่อทะเบียน เมื่อให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางทนายแจ้งว่า สภาทนายความยังเหลือรถอีก 3 คัน ที่พร้อมจะนำมาส่งวัดขวางชัยภูมิทีเดียว ขอให้ติดต่อประสานงานกับวัดในพื้นที่ที่มีความประสงค์อยากได้รถตู้มาใช้งานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา จึงได้ติดต่อกับวัดในพื้นที่อีก 3 วัด และได้โอนเงินให้ไปเพิ่มไปให้อีกรวมเป็นเงิน 11,400 บาท จากนั้นทนายเจนจิราได้แจ้งว่า ต้องมีค่าจัดโอนรถยนต์ตู้ อีกจำนวน 4 คัน มีการนำภาพผู้หญิงแต่งชุดทนายความและภาพระหว่างทำกิจกรรมอื่น แชร์เป็นหลักฐานสร้างความเชื่อมั่นเชื่อถือให้เจ้าอาวาสวัดได้รับรู้ด้วยรับทราบ

               “ ส่วนครั้งที่สองโอนเงินไปให้เป็นค่าจัดทำประกันรถยนต์ตู้อีก 4 คัน เพื่อการเคลื่อนย้ายรถจากสภาทนายความที่กรุงเทพมาให้วัดขวางชัยภูมิ ครั้งที่สามเป็นค่าน้ำมันรถตู้ สรุปโอนให้รวม 3 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 53,080 บาท พร้อมนัดส่งมอบให้กับวัดพร้อมกันในวันที่ 20 พฤษภาคม แต่ก็โดนผลัดว่าจะมาส่งให้ในวันที่ 21 และ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา เมื่อถึงวันนัดก็ไม่มีการนำรถยนต์ตู้มาส่งมอบให้และปิดเฟสบุ๊คหนี

               ขณะเดียวกันทางวัดได้ตรวจสอบประวัติผู้ที่อ่างตัวว่าเป็น “ทนายเจนจิรา” ไปด้วยเชื่อว่า จะเป็นแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงเอาเงินที่กำลังระบาดหนักเกี่ยวกับพระสงฆ์ โดยเฉพาะเจ้าอาวาสทุกแห่งในประเทศไทย ด้วยความเป็นห่วงจึงเข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรพิชัย นำหลักฐานการแชทไลน์และการโอนเงินส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวน เพื่อติดตามแก๊งมิจฉาชีพมาดำเนินคดี และไม่ต้องการให้แก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงกับเจ้าอาวาสวัดอื่นได้อีก โดยเฉพาะกับการแอบอ้างว่าจะนำรถยนต์ตู้มาถวายให้กับวัดต่างๆทั่วประเทศ รวมไปถึงการแอบอ้างว่า จะนำผ้าป่าจากต่างประเทศ หรือโครงการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ให้กับวัดต่างๆในประเทศไทยด้วย”

               ด้าน พ.ต.อ.โยธิน  ยากองโค ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า ช่วงนี้แก๊งมิจฉาชีพรวมถึงแก๊งคอยเซ็นเตอร์ระบาดทั่วประเทศไทย จึงขอให้พี่น้องประชาชนและวัดต่างๆในประเทศไทย ระมัดระวังอย่าได้หลงเชื่อแก๊งมิจฉาชีพโดยง่าย ยิ่งการโอนเงินด้วยแล้ว จะต้องระมัด ระวังและต้องมีการตรวจสอบให้เป็นที่แน่ใจก่อนว่าไม่ถูกหลอกจึงโอนเงินไปให้

               “ สำหรับคดีของวัดขวางชัยภูมิ ทางพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการตรวจสอบบุคคล จากสมุดบัญชีธนาคารและสถานที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ได้เตรียมออกหมายเรียกมาสอบสวนเพื่อดำเนินคดีเอาผิดข้อหาฉ้อโกงเงิน และหากไม่มาพบพนักงานสอบสวนจะได้ออกหมายจับต่อไป

               ส่วนรูปโปรไฟล์บนเฟสบุ๊ค ที่มีการนำรูปผู้หญิงแต่งชุดทนายความ นามว่า “เจนจิรา” นั้นเชื่อว่า แก๊งมิจฉาชีพคงมีการนำรูปบุคคลอื่นมาติด เพื่อให้ผู้ถูกหลอกหลงเชื่อได้ง่ายว่า เป็นบุคคลน่าเชื่อถือ จึงทำให้การหลอกลวงครั้งนี้ง่ายขึ้นต่อผู้ที่หลงเชื่อ” พันตำรวจเอกโยธิน  ยากองโค ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพิชัย กล่าว.

Related posts