นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนและพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยไทยจะต้องปรับตัวเพื่อสร้างบุคลากรสอดคล้องตามความต้องการของประเทศและโลก”
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่รวดเร็ว ซึ่งส่งผลต่อความต้องการบุคลากรในตลาดแรงงานอย่างมหาศาล เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศและแนวโน้มโลก
ในอดีต มหาวิทยาลัยไทยต้องเผชิญกับปัญหาการผลิตบัณฑิตที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ส่งผลให้ผู้สำเร็จการศึกษาหลายคนต้องทำงานนอกสายงานหรือในตำแหน่งที่ต่ำกว่าคุณวุฒิการศึกษา ซึ่งกลายเป็นความสูญเปล่าของทรัพยากรการศึกษาและลดโอกาสการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในภาพรวม กระทรวงวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยสร้างความชัดเจน โดยเน้นการผลิตบัณฑิตและบุคลากรที่ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศได้อย่างแท้จริง
อว. ได้กำหนดแผนพัฒนาการอุดมศึกษาที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยให้ความสำคัญกับการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ (Super Aging Society) และส่งเสริมการเรียนรู้แบบ non-degree เพื่อสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพบุคคลในยุคที่ความรู้และทักษะต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง การพลิกโฉมมหาวิทยาลัยไทยในยุคใหม่ เพื่อให้การศึกษาไทยตอบโจทย์อย่างมีประสิทธิภาพ มหาวิทยาลัยต่างๆ ถูกปรับบทบาทให้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
1.มหาวิทยาลัยระดับโลก เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ในระดับสากล
2.มหาวิทยาลัยด้านนวัตกรรม เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ เน้นสนับสนุนเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม
3.มหาวิทยาลัยพื้นที่เฉพาะ ให้บริการวิชาการและพัฒนาท้องถิ่นโดยตรง
4.มหาวิทยาลัยศาสนา มุ่งพัฒนาหลักสูตรด้านศาสนาและสังคม
5.มหาวิทยาลัยวิชาชีพเฉพาะ เน้นการผลิตบุคลากรเฉพาะทางที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน
มหาวิทยาลัยไทยต้องปรับตัวเพื่อให้ทันต่อความต้องการของประเทศและโลก โดยเฉพาะการผลิตบัณฑิตที่มีความสามารถตอบสนองความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมสร้างความสมดุลระหว่างความเชี่ยวชาญเชิงวิชาการและทักษะปฏิบัติที่ใช้ได้จริง “การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงช่วยให้การศึกษาตอบโจทย์ แต่ยังช่วยพัฒนาประเทศให้พร้อมรับมือกับโลกอนาคตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
นายพงค์สุข หิรัญพฤกษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เจ้าของเว็บไซต์ beartai กล่าวว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทุกมิติของชีวิตมนุษย์ ทั้งในด้านการศึกษา การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนในหลายกระบวนการ แต่การใช้งานที่ขาดสมดุลอาจนำไปสู่ผลกระทบเชิงลบในระยะยาว
AI ในการศึกษาเป็นโอกาสและความท้าทาย อย่างเช่น ChatGPT กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักเรียนสร้างงานได้ง่ายขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อกังวลว่าการพึ่งพา AI มากเกินไป อาจทำให้นักศึกษาเสียโอกาสในการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) ซึ่งเป็นหัวใจของการเรียนรู้ หรือแม้ AI จะช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำ แต่การเรียนรู้พื้นฐานยังคงเป็นสิ่งสำคัญ สถาบันการศึกษาควรพัฒนากลยุทธ์การใช้ AI อย่างสมดุล เพื่อให้นักเรียนสามารถใช้เทคโนโลยีควบคู่กับการพัฒนาทักษะที่จำเป็น และ AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของผู้คนอย่างมาก เช่นเดียวกับผลกระทบของอินเทอร์เน็ตในอดีตที่ทำให้ธุรกิจสื่อต้องปรับตัว (Digital Disruption) ในปัจจุบัน AI ช่วยให้ทุกคนสร้างคอนเทนต์ แต่งภาพ หรือออกแบบผลงานได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดเพิ่มสูงขึ้น
เทคโนโลยี AI ต้องการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) สำหรับการเรียนรู้ แต่การใช้งานข้อมูลเหล่านี้ก่อให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะข้อมูลอ่อนไหว เช่น เกรดนักศึกษา หรือข้อมูลส่วนตัว โดยประเทศไทยควรมีศูนย์ข้อมูล (Data Center) ภายในประเทศ เพื่อควบคุมการจัดเก็บและการใช้ข้อมูลให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนา AI ให้เหมาะสมกับภาษาและวัฒนธรรมไทย ก้าวต่อไปของประเทศไทย ควรพัฒนา AI ในแบบของเรา AI ในอนาคตควรถูกปรับแต่งให้ตอบโจทย์บริบทเฉพาะของประเทศ เช่น การประเมินผลการศึกษา การพัฒนาเทคโนโลยีในภาษาท้องถิ่น หรือการสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการความแม่นยำและรวดเร็ว
AI เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ในหลายด้าน ตั้งแต่การศึกษา การทำงาน ไปจนถึงการดำเนินชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบและคำนึงถึงผลกระทบทั้งด้านบวกและความเสี่ยง เช่น การพึ่งพามากเกินไป หรือการละเมิดความปลอดภัยของข้อมูล จะช่วยให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนที่สร้างสรรค์และยั่งยืนสำหรับอนาคตของประเทศไทย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนมพัทธ์ สมิตานนท์ กรรมการสภามหาวิทยาลัย รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เดินหน้าปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 โดยมุ่งเน้นพัฒนาระบบการศึกษาให้เหมาะสมกับยุคดิจิทัล พร้อมทั้งขยายโอกาสการเรียนรู้สำหรับทุกคน มสธ. ได้ปรับระบบการเรียนการสอนจากรูปแบบเดิมที่ใช้เอกสาร วิดีโอ และรายการโทรทัศน์ ไปสู่การเรียนการสอนสู่ออนไลน์เต็มรูปแบบ และแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Moodle และระบบ e-Learning เพื่อตอบสนองความต้องการต่อการศึกษายุคใหม่ นอกจากนี้ มสธ. ยังนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Generative AI มาใช้ในการสร้างเนื้อหาการเรียนการสอน ช่วยเพิ่มความหลากหลายและขยายโอกาสการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน มสธ. ในช่วงโควิด-19 มสธ. เริ่มนำระบบการจัดสอบออนไลน์มาใช้ โดยผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น Face Recognition เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของผู้เข้าสอบ เพิ่มความโปร่งใสและเชื่อถือได้ในกระบวนการสอบ แม้ว่าจะมีปัญหาในช่วงแรก เช่น การเข้าใช้งานระบบ แต่ด้วยความร่วมมือของทีมงานและบุคลากร ปัจจุบันระบบได้รับการพัฒนาจนสามารถรองรับการจัดสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างระบบการศึกษาที่ตอบสนองต่อยุคดิจิทัล
มสธ. ยืนยันความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์การศึกษาที่เท่าเทียมและตอบโจทย์ความต้องการของสังคมในยุคดิจิทัล พร้อมเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในทั่วทุกมุมโลก มุ่งเน้นการขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับทุกคน โดยไม่จำกัดสถานที่หรือเวลา พร้อมเพิ่มหลักสูตรระยะสั้น เน้นการทักษะ Upskill และ Reskill เพื่อรองรับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต
นายไพศาล เรืองฤทธิ์ ศิษย์เก่า มสธ. และนักศึกษาปริญญาเอกสาขานิเทศศาสตร์ กล่าวว่า มสธ. ถือเป็นมหาวิทยาลัยแรกในประเทศไทยที่เป็นผู้นำด้านการเรียนการสอนทางไกลและมีพัฒนาการที่โดดเด่น ทั้งการเปลี่ยนรูปแบบตำราเรียนเป็นดิจิทัล การสอบออนไลน์ และการเรียนรู้แบบ Smart Learning ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนจากทุกพื้นที่เข้าถึงการศึกษาได้ง่ายขึ้น
แม้ AI จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ยังขาดจริยธรรม จรรยาบรรณ และจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมนุษย์ “AI เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความสะดวก แต่สิ่งที่ AI ทำไม่ได้คือการสร้างศีลธรรมและความเมตตา ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องฝึกฝนและพัฒนาเอง” AI สามารถช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมาก แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์ โดยเฉพาะการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้กับผู้เรียนในยุคดิจิทัล
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชในฐานะสถาบันการศึกษาจะต้องมุ่งพัฒนาทั้งความรู้และจริยธรรมของนักศึกษา เพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพและสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคตได้อย่างยั่งยืน “AI เป็นเพียงผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้กำหนดอนาคต มนุษย์ต่างหากที่เป็นหัวใจสำคัญ”
#มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
#STOU
https://www.stou.ac.th