หนังไทยส่งท้ายปี “404 สุขีนิรันดร์..RUN RUN” ของ GDH ได้รวมแก๊งตัวตึงสายฮา นำโดย เต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี, ต้าห์อู๋ พิทยา แซ่ฉั่ว, นุ้ย ชูเกียรติ เอี่ยมสุข, อาไท สุภทัต โอภาส, ปุ๊กกี้ ปวีณ์นุช แพ่งนคร แท็กทีมกันมาสร้างเสียงหัวเราะกับนักแสดงสาวเจ้าของฉายาสวยกินคน ต้า เหนิง กัญญาวีร์ สองเมือง ที่จะมารับบท ผีคุณหนูเจ้าของโรงแรมสุดโหด ซึ่งเป็นงานกำกับเรื่องแรกของ “เสือ พิชย จรัสบุญประชา” ที่ได้โปรดิวเซอร์เจ้าพ่อหนังตลกอย่าง ยอร์ช ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ มาช่วยควบคุมการผลิต จัดรอบพิเศษ โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์
หนังค่าย GDH การันตีคุณภาพมาอีกแล้ว เนื้อเรื่องเกี่ยวกับสถานที่อาถรรพ์ ที่เหล่าตัวละครต้องมีเหตุให้เข้าไปเกี่ยวข้อง น้ำหนักในการที่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง ทั้ง ๆ ที่รู้ข้อมูลมาแล้ว ถือว่าทำได้ดี หนังผีส่วนใหญ่บางครั้งคนดูก็ติดใจว่า แล้วจะอยู่ที่นั้นต่อทำไม ทำไมไม่หนีออกมา ทำให้รู้สึกขัดอารมณ์หน่อย แต่ 404 เรื่องนี้ทำออกมาได้มีน้ำหนักดีมาก ให้ผู้ชมรู้สึกให้กำลังใจในการที่จะอยู่ลุยต่อ มากกว่าจะ หนีไปเถอะ บทภาพยนตร์เนื้อเรื่องเรียบเรียงร้อยเรื่องราวเชื่อมต่อกันลงตัวดี ฉากต่าง ๆ ทำออกมาสวยงาม ไม่ดูโทรมสกปรก แต่ให้ความรู้สึกถึงที่เหล่าตัวละครเห็นมูลค่าได้ ฉากตกใจทำมาได้เป๊ะ ไม่ยืดเกินไป มาทีให้สะดุ้งไปเลย ฉากที่ฆ่ากันถือว่าเห็นถึงความรุนแรงมากระดับนึง แสดงถึงความโหดเหี้ยมได้ชัดมาก ต้าเหนิง ที่รับบทเป็นผี มีมิติความเหมาะสมลงตัว ทั้งสวย ยิ้มแย้มแบบมีชีวิต และสวยดุแบบไร้ชีวิตได้ในคน ๆ เดียวกัน พูดเรื่องการแสดงทำได้สมบทบาทสุด ๆ เธอถ่ายทอดอารมณ์ผีที่โหดเหี้ยมและช่วงที่เล่าถึงมุมใจดีก็ใจดีมาก โดยเฉพาะแววตา ส่วนก๊วนตัวเอก 4 คนนั้นขายขำกันตลอดทั้งเรื่อง เต๋อ ต้าห์อู๋ นุ้ย อาไท ส่งมุก รับส่งกันดีทีเดียวแต่จะมีก็ต้าห์อู๋ที่ดูจังหวะแข็งกว่าคนอื่นจึงขำได้ไม่สุด เท่ากับอีก 3 คน ส่วน อาไทถือว่าเล่นได้พัฒนาขึ้นมาก โดดเด่นออกมาชัดเจน ทั้งจังหวะและความขำ ดูจนจบอย่าพึ่งลุก ยังมีให้ดูเรื่องราวต่อจากนั้น ที่ให้ความรู้สึก Feel Good ปิดท้ายเพิ่ม ติดให้ ****
The Colors Within จากผลงานการกำกับภาพยนตร์โดย นาโอโกะ ยามาดะ (A Silent Voice) บทภาพยนตร์โดย เรอิโกะ โยชิดะ ได้จัดฉายรอบที่โรงภาพยนตร์ ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต
ที่เล่าเรื่องราวผ่านเด็กหญิงโรงเรียนคอนแวนต์ที่เดินเรื่องค่อนข้างจะจืดชืดและเชื่องช้า เนื้อแท้ของเรื่องราวคือความสัมพันธ์ของคนที่เพิ่งจะมารู้จักกัน 3 คน แล้วทั้งหมดก็ร่วมกันตั้งวงดนตรีขึ้น แต่ด้วยความเล่นท่ายากในการเล่าเรื่อง ก็เลยทำให้หนังดูไม่สนุกเท่าไหร่ แต่เนื้อแท้ของหนังมีประเด็นดีในเรื่องของมิตรภาพและความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่สวยงาม ด้วยความที่เล่าเรื่องราวผ่านสายตาของเด็กคอนแวนต์ ก็เลยมีเรื่องของศรัทธาในคริสตศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตัวละครใช้ความเชื่อและศรัทธาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจในการที่จะก้าวข้ามอุปสรรค ติดให้ **
ซานะ เสียงเรียกจากผี ผลงานของผู้กำกับ ทะกะชิ ชิมิซุ นำแสดงโดย ซาโตรุ มัตซึโอะ, Soma Santoki, โชตะ โซเมะตานิ, Towa Araki จัดรอบแรกหลอน โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์
ซึ่งเป็นหนังญี่ปุ่นที่ทำออกมาให้ผีเหมือนคนปกตินี่แหละ และก็อยู่ใกล้ตัว คือมาแบบดูเนียน ๆ ได้เลย ทำให้พอคนดูรู้ว่า ผี มาละ ชวนขนลุกมากขึ้น ส่วนตัวละครอาจจะยังดูก้ำกึ่งไม่แน่ใจเจอ ผีได้อยู่ สำหรับฉากต่าง ๆ ในหนังนั้นทำออกมาดูเป็นธรรมชาติมาก ทำให้ดูใกล้ตัวทั้งโรงเรียน บ้าน ที่ดูปกติทุกอย่าง จนกระทั่งเฉลยออกมาถึงได้ดูเก่าขึ้นจนน่ากลัว มาที่นักแสดงทุกคนเล่นได้ดีมาก ดูเป็นธรรมชาติตามบทบาทที่ได้รับกัน ทุกคนถ่ายทอดความกล้าความกลัวแบบปกติมนุษย์ ไม่ได้บ้าบิ่นท้าลองดีแต่อย่างใด เนื้อเรื่อง บทภาพยนตร์เขียนได้ดี มิหนำซ้ำมีการซ่อนปมจนกระทั่งเรื่องราวค่อย ๆ คลี่คลายออกมาทีละนิด ๆ แต่ก็มีบางปมยิ่งคลี่คลาย ยิ่งเจอเรื่องประหลาด ทำให้รู้สึกว่า เกินกว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ เหมือนกับเมื่อพลาดท่าได้ยินเสียงแล้วไม่ว่ายังไงก็จะต้องโดนผีที่ไล่ล่าตามเก็บอย่างดูธรรมชาติไม่มีผิดสังเกต เป็นหนังที่ทำเรื่องราวออกมามีความซับซ้อนของเรื่องระดับนึงเลยนะ ในส่วนของผีหรือฉากออกมาเละ ๆ สยองขวัญแบบนั้นถ้าจะไปหาดูไม่มีให้เห็น เป็นแนวที่เหมาะกับคนอยากดูความน่ากลัว ชวนสยองที่รายล้อมใกล้ตัว ทว่า บรรยากาศปกติจนไม่รู้ว่ามีผี ซึ่งคอหนังแนวนั้นน่าจะชอบ เพราะไม่ต้องเห็นอะไรเละ ๆ ติดให้ ***
แอนโทนี แมกกี สลัดภาพซุเปอร์ฮีโร่สวมบทพ่อที่ต้องฝ่าฝูงอสุรกายไปเอายามาช่วยลูกชายในภาพยนตร์เรื่อง “Elevation อสุรกายขย้ำ 8,000 ฟุต” ร่วมด้วย 2 นักแสดงนำหญิง อย่าง โมเรนา บัคคาริน กับ แมดดี้ แฮสสัน ที่เป็นงานใหม่ของผู้กำกับ จอร์จ นอลฟี ที่หายไปเลยนับตั้งแต่ The Adjustment Bureau งานนี้แอนโทนี แมกกีร่วมเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย
เปิดเรื่องมาก็ตื่นเต้นแล้ว เด็กชายเล่นดีขณะวิ่งหนีและหนีเราคนดูก็ลุ้นกระทั่งเด็กกระโดดข้ามเส้นสีขาว ก็งงเส้นอะไรวุ้ย แต่มาเฉลยว่าคือเส้นอะไร พล็อตเรื่องมนุษย์ต่างดาวบุกโลกแบบไม่ตั้งตัวกวาดล้างเผ่าพันธุ์บนโลกไปร่วม 85 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือรอดอยู่ก็น่าจะโดยบังเอิญ เพราะข้อแม้ของเรื่องนี้อยู่ที่มนุษย์ต่างดาวจะไม่กล้าขึ้นสูงเกินกว่า 8,000 ฟุต นั่นทำให้มนุษย์ที่เหลือรอดมาได้และทำเส้นขาวไว้เพื่อให้รู้ว่า นี่คือความสูงในระยะปลอดภัย เกือบค่อนเรื่องแทบจะยังไม่เห็นตัวเต็ม ๆ ของอสุรกาย แต่เสียงซาวนด์กระหึ่มชวนสยองพาลุ้นตลอดครึ่งแรก และลุ้นไปกับกลุ่มพระเอกที่พ่วงผู้หญิง 2 คนว่าจะไปถึงโรงพยาบาลเพื่อเอายามาให้ลูกชายได้ไหม มาที่ตัวอสุรกายออกแบบทันสมัยแต่จากลุ้นมาทั้งเรื่อง สรุปไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวบุกโลก แต่มันคือเครื่องจักรที่ถูกส่งมาล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยเฉพาะ เพราะเกริ่นให้เห็นว่าพวกสัตว์อื่นไม่ถูกฆ่ามันเน้นฆ่าคนล้วน ๆ ตอนแรกก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเลือกฆ่าคนจนมาเฉลย บางคนดูแล้วอาจวืดหลับ ส่วนตัวดูสนุกลุ้นตลอดเรื่อง แถมแมกกีเหมือนยกระดับเพิ่มออร่าเพื่อไปลองรับบทกัปตันอเมริกา เพราะพี่เขาเท่แถมเป็นพ่อที่รักลูกดูอบอุ่นจนอยากได้อ้อมกอดพ่อคนนั้นบ้าง end credit อยากให้มีภาคต่อเพราะไม่เฉลยว่าใครส่งอสุรกายมา ติดให้ ****
ภาพยนตร์เรื่อง “Red One” ที่นำแสดงโดย ดเวย์น จอห์นสัน พร้อมด้วยนักแสดงดังอย่าง คริส อีวานส์ จะมาร่วมการผจญภัยที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความตื่นเต้น ร่วมด้วย ลูซี่ หลิว, เคียร์แนน ชิปก้า, บอนนี่ ฮันท์, คริสโตเฟอร์ ฮิฟจู, นิค โครลล์, เวสลีย์ คิมเมล และเจ้าของรางวัล Oscar เจ.เค. ซิมมอนส์ ผลงานกำกับของ แคสแดน จากบทภาพยนตร์ของ คริส มอร์แกน โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์
หนังของดเวย์น จอห์นสันยอดเยี่ยม ชอบ ๆ เฮียจับทางถูกแล้วมาหนังแนวแฟนตาซี ซึ่งพักหลังจะมาแนวนี้ทั้งนั้น จะเหมือนอินเดียน่า โจนส์แต่เขาเป็นอินเดียน่า โจนส์ล่ำ ๆ บู๊ ๆ แล้วมีตลกสอดแทรก เรื่องนี้ถ้าพูดจริง ๆ มีกลิ่นอายของหนังหลายเรื่องเท่าที่นึกได้ก็มี Jumanji , ANT MAN, Avengers แล้วพ่วงดิสนีย์เรื่อง Beauty and the Beast, Star Wars คือมีกลิ่นอายของหนังแฟนตาซีเอามายำรวมกัน แต่เข้าใจคิดมุกเอามาอย่างละนิดอย่างละหน่อย เรื่องของเรื่องได้คนเล่นดีมี ดเวย์น, คริส อีวานส์, ลูซี่ หลิว สำหรับบทแบบทะลึ่งทะเล้นคริส อีวานส์เล่นถนัดนะ เขาเล่นได้ขำหลุดภาพกัปตันอเมริกาดี มาที่ดเวย์นก็ดูเท่ ๆ ล่ำ ๆ แถมชุดออกแบบดูเท่ แต่ที่ชอบเห็นจะเป็นอุปกรณ์ขยายอาวุธหรือพาหนะ ดูแล้วนึกถึงโดราเอมอน มาที่พล็อตดีเป็นเรื่องของจินตนาการว่าซานตาคลอสโดนลักพาตัวแล้วเด็ก ๆ จะได้ของขวัญจากใคร? ตั้งแต่ดูเรื่องคริสมาสที่ทำมาหลายเรื่อง ๆ นี้ตีโจทย์แตก และเมืองของซานตาคลอสก็มีกลิ่นอายของธอร์ เพราะฉากต่อสู้บนสะพานแทบจะถอดแบบแอสการ์ดเลย แล้วเป็นที่รู้กันหนังสอดแทรกมุกตลก นอกจากนี้ก็สอดแทรกเรื่องครอบครัว พ่อลูกที่คุยกันน้อยก็ได้ปรับความเข้าใจกัน ความสัมพันธ์ของเพื่อน หรือแม้แต่พี่น้องแม้ทะเลาะกันก็ตัดกันไม่ขาด หนำซ้ำเสียดสีนิสัยผู้ใหญ่และเด็กไม่ว่าจะยุคไหนก็เห็นแก่ตัวกัน ซึ่งเป็นหนังดูเพลิน สนุกมาก ๆ มีบู๊ด้วย เป็นหนังคริสมาสที่เข้าใจคิดผสมยุคสมัยได้ดี ส่วน ลูซี่ หลิวเล่นดีกลมกลืนกับหนุ่ม ๆ เขา แต่ก็อยากให้มีภาคต่อนะ และขอชมกราฟฟิคดีไซน์แต่ละฉากทำออกมาเนียนตา ยังคิดเล่น ๆ มีเมืองซานตาคลอสจริงเหรอ? ถ้าโรงหนังให้ฉายถึงช่วงคริสมาสคนดูใจฟู ดูจบอมยิ้ม ติดเต็ม *****
คำถามภาพยนตร์เรื่อง “Red One” ใครที่ถูกลักพาตัวไปในเรื่อง?
เฉลยคำถามภาพยนตร์เรื่อง “JOKER” : ถูกนักโทษด้วยกันฆ่าตาย
ทราบคำตอบเขียนใส่ไปรษณียบัตร พร้อมชื่อ – นามสกุล – ที่อยู่ เบอร์โทร.ให้ถูกต้อง ส่งมาทายปัญหา หนังดีติดดาว ที่อยู่ 32/15 ลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 ผู้ที่ตอบถูก 3 ท่าน จะได้รับของรางวัลจาก วอร์เนอร์ บราเดอร์ส (ขอบคุณสนับสนุนของรางวัล)
M Studio ส่งภาพยนตร์ดราม่าระทึกจิต บีบคั้นอารมณ์ถึงขีดสุด เมื่อลูกของพวกเค้าฆ่าคนตาย สองครอบครัวจะทำอย่างไร เรื่อง “A Normal Family – ลูกฉัน… เป็นคนดี” ที่นำแสดงโดย ซอลคยองกู, จางดงกอน, คิมฮีแอ และ คลอเดีย คิม หนังจัดรอบพิเศษ ณ โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์
ซึ่งหนังทำได้อย่างยอดเยี่ยมในเรื่องของการสร้างความกดดันให้กับตัวละครพี่ชายกับน้องชายที่มีอาชีพเป็นทนายความและหมอตามลำดับ แต่อีกสถานะหนึ่งทั้งคู่ต่างก็เป็นพ่อของลูกชายและลูกสาวที่ร่วมกันก่อคดีสะเทือนขวัญ หนังพาเราไปกับเส้นเรื่องที่พลิกไปพลิกมาตามเงื่อนไขของสถานการณ์และจากมุมมองของตัวละครที่แทบจะแยกไม่ออกระหว่างหน้าที่การงานและสถานภาพว่า ควรจะยืนอยู่ในฐานะและมองเหตุการณ์นี้ด้วยมุมมองและสายตาของอาชีพหรือบทบาทเมื่อผู้ต้องสงสัยเป็นลูกหลานของตัวเอง แต่หนังมีช่วงที่อืดและจังหวะที่เอื่อยอยู่บ้างตามประสาหนังดราม่าที่ขับเคลื่อนด้วยบทสนทนา แต่หนังสามารถกลับเข้าสู่การเล่าเรื่องที่สร้างความกดดันได้ตลอด ก่อนที่ทุกอย่างจะเดินหน้าไปยังโค้งสุดท้ายที่ลุ้นระทึกกันเกือบจะลืมหายใจ ติดให้ **** ครึ่ง
“BAGMAN ผีกินเด็ก” เขียนบทโดย จอห์น ฮูล์ม โดยได้แรงบันดาลใจการทำหนังเรื่องนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเองตอนเด็ก ย้อนไปในช่วงที่ฮูล์มอายุเพียง 6 ขวบ เขามักฝันร้ายถึงปีศาจที่ออกมาจากใต้เตียง หน้าต่าง หรือตู้เสื้อผ้า แล้วลากเขาเข้าไปในกระเป๋า จนตัวเองต้องหนีไปนอนกับแม่ทุกคืน ความกลัวนี้ทำให้เขาถึงขั้นเข้าพบจิตแพทย์เด็กเพื่อบำบัดเป็นเวลา 1 ปีเต็ม แต่หนังนำแสดงโดย แซม แคลฟลิน, แอนโทเนีย โธมัส, คาเรล วินเซนต์ โรเดน, อะเดล เลอวันซ์, วิลเลียม โฮป, สตีเวน ครี, ชารอน ดี. คลาร์ก, เฮนรี่ เพ็ตติกรูว์, นีล ลินโปว์, แฟรงกี้ โคริโอ้ ถ่ายทอดผลงานขวัญกระเจิงโดยผู้กำกับ คอล์ม แม็กคาร์ธี (จากซีรีส์ Peaky Blinders (2014) และ Black Mirror (2017) ) ชวนหลอนก่อนใคร โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า
หนังบีบบังคับตัวละครด้วยเงื่อนไขทางการงานให้ต้องกลับมาอยู่ที่บ้านเก่าที่ตัวเองเคยมีประสบการณ์เลวร้ายกับสิ่งลี้ลับในอดีตมาก่อน แล้วก็แน่นอนว่าพอลูกชายของตัวเองประสบเหตุการณ์เดียวกัน คนเป็นพ่อและแม่ต้องพยายามปกป้องลูกและแก้ไขสถานการณ์ หนังเดินเรื่องตามขนบธรรมเนียมประเพณีของหนังแนวนี้ทุกประการ แต่ด้วยทิศทางในการเล่าเรื่อง หนังมีความเป็น thriller มากกว่า horror ตัวละครมักคิดและทำอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล เส้นเรื่องหย่อนยาน ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่ข้อมูลที่ว่าด้วยสิ่งลี้ลับที่หนังปล่อยออกมาก็ทำให้เจ้าตัวนี้มีความน่าสนใจและน่ากลัวใช้ได้ ติดให้ **
“Endpresso ปณิธานหวานน้อย” หนังรักของคนที่ไม่อยากมีความรัก เสิร์ฟโดย M Studio จับมือกับ บริษัท ดราก้อน ฟิล์ม จำกัด อำนวยการสร้างโดย โบว์-กัญธนัช กิตติถิรธรรม / Exclusive Producer : นี่โน่-รัฐบาล ซึ่งกำกับการแสดงโดย เสนาเพชร-พุฒิพงศ พรหมสาขา ณ สกลนคร นำแสดงโดย นิว-ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ, เมเบิ้ล-สิริวลี สิริวิบลูย์, เซียนหรั่ง-ภูวเนตร สีชมพู, คิมม่อน-วโรดม เข็มมณฑา, น้ำตาล-ชลิตา ส่วนเสน่ห์, บุ๊คโกะ-ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล ฯลฯ จัดรอบพิเศษ โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์
หนังใช้ประโยชน์จากโลเกชั่นที่ราชบุรีและเชียงรายได้น่าสนใจ ดูแล้วก็อยากจะออกไปตามรอยในบางสถานที่ ส่วนเพลงประกอบมีความไพเราะเสนาะหู ไม่ว่าจะเป็นเพลงร้องหรือเพลงบรรเลง ต่างก็ได้รับการออกแบบมาให้รับใช้อารมณ์และความรู้สึกของตัวละครในแต่ละช่วงเวลาได้เป็นอย่างดี แต่หนังมีปัญหาในเรื่องของพื้นฐานตัวละครที่ปูได้ไม่แน่นพอ ความขัดแย้งระหว่างตัวละครก็ไม่ชัดเจนว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ จึงเป็นปัญหาให้รู้สึกไม่อยากเอาใจช่วยตัวละครตัวไหนเลย บวกกับวิธีการเล่าเรื่องที่พฤติกรรมและความคิดของตัวละครวนไปวนมาจนทำให้เส้นเรื่องแทบจะหยุดนิ่งในช่วงกลาง ๆ ทว่าถึงแม้จะเข้าใจในแกนกลางที่ว่าด้วยเรื่องของความรักว่ามันมีหลายรูปแบบ ความรักในแต่ละเพศและในแต่ละช่วงวัยก็จะมีความแตกต่างกันไป แต่ฐานตัวละครไม่แน่น หนำซ้ำการเล่าเรื่องที่ย่ำอยู่กับที่ ทั้งมีความทีเล่นทีจริงจากตัวละครรองก็เลยทำให้หนังไปไม่ถึงดวงดาว ติดให้ * ครึ่ง
My Ex’s Wedding / ปิ๊งรักคนที่เลิก ที่นำแสดงโดย สุลักษมิ์ ศิริภัทรพงศ์, กัญญ์ชนิสรา น้อยพันธ์, เสกพร สุพรรณธนพงษ์, อาริษา เอเวอร์ริท โดยผู้กำกับ ธารวิมล อ่อนพาปลิว ณ โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์
ถือเป็นหนังยูริเรื่องที่ 2 ที่ขึ้นจอใหญ่ สำหรับเรื่องนี้เป็นหนังที่มีศักยภาพพอที่จะพัฒนาให้เป็นโรแมนติกผสมคอมเมดี้ชั้นดีได้เลย แต่หนังไปไม่ถึงเลยสักทาง ตัวละครหลักและรองดูไร้มิติและน่าเชื่อถือ เส้นเรื่องยุ่งเหยิงและรุงรังจากความคิดและพฤติกรรมของตัวละคร ซ้ำด้วยท่าทีแบบทีเล่นทีจริงในการเล่าเรื่อง ทั้งหมดนี้ทำลายหนังจนพังพินาศ รวมถึงตัวละครแต่ละตัวก็ถ่ายทอดอารมณ์ไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ แต่หนังขายความเป็นยูริแบบเต็มสูบ ด้อมและแฟนจะได้รับความฟินจากหลายฉากหลายตอนที่คู่ตัวละครหลักมาใกล้ชิดกัน หนังถ่ายภาพสวยและจัดแสงดี ทำให้งานภาพดูดีมีคุณภาพ แต่เสียงมีปัญหาหนักมาก บากฉากมีแต่เสียงพูด ไร้เสียงรอบตัว แม้ว่าตัวละครจะยืนอยู่ริมแม่น้ำก็ตาม ในขณะที่บางฉากเสียงดนตรีในผับดังลั่นจนต้องอ่านคำบรรยายภาษาอังกฤษว่าตัวละครพูดอะไร เพราะไม่ได้ยินเลย แต่ถือว่าหนังไทยไปไกลโดยเฉพาะหนังแนวนี้ ติดให้ * ครึ่ง
“Victory สาวสายแด๊นซ์เชียร์วี๊ดบึ้ม” โดยผู้กำกับ พัคบอมซู นำแสดงโดย ฮเยริ ที่พลิกบทหนักครั้งสำคัญมาเป็น สาวสายแด๊นซ์ ร่วมด้วย พัคเซวาน, อีจองฮา, โจอารัม
เป็นเรื่องราวของพิลซน กับ มีนา สองสาวเพื่อนซี้ที่หลงใหลการเต้น แต่ที่โรงเรียนของพวกเธอไม่มีห้องและสถานที่ให้พวกเธอได้วาดลวดลายการเต้นได้อย่างเต็มที่ กระทั่งมาเห็น เซฮยอน นักเรียนใหม่ที่ย้ายมาจากโซลออกลีลาเต้นเชียร์ลีดเดอร์ในห้องเรียน ทำให้พิลซนเกิดไอเดียก่อตั้งชมรสเชียร์ลีดเดอร์โรงเรียนขึ้น เรื่องนี้ตัวแสดงเยอะ แต่ที่เด่นก็ฮเยริ นักแสดงนำของเรื่อง สำหรับฉากในหนังย้อนไปปี 1999 ก่อนที่จะเริ่มต้นสหัสวรรษใหม่ จากที่ดูเนื้อเรื่องสนุกชวนประทับใจตลอดทั้งเรื่อง ได้เห็นถึงความสามัคคีของสาว ๆ ทีมเชียร์ แถมยังได้ฟังเพลงเพราะ ๆ สไตล์เกาหลีชวนให้รำลึกความหลัง นับเป็นหนังที่ดูจบแล้วรู้สึกประทับใจ แต่ก็ต้องอยู่ที่ว่าใครชอบแนวนี้ด้วย ถ้าเป็นพวกที่ไม่เน้นแนวคือดูได้หมด อยากพักสมอง พักหนังบู๊ หนังดราม่าก็ไปดูกัน เพราะมีครบรส แม้ฉากจะพาย้อนไปสมัยโน้นก็ไม่ทำให้ดูขัดตาอะไร กลับเพลิดเพลินกับท่าเต้นที่แข็งแรงของสาว ๆ เพราะเป็นที่รู้เกาหลีเรื่องเต้นเขาไม่อ่อนให้ใคร ฉะนั้นในหนังจะได้เห็นนักแสดงแต่ละคนฝึกซ้อมสเต็ปกันมาดี ทำให้เวลาเต้นเข้าขากันดี ติดให้ *** ครึ่ง