หัวใจหมอห้องที่ 5 คือ…”ความเมตตา”

สกู๊ปพิเศษ

โดย…ยอดเยาวพา

35 ปีกับการปัดเป่าทุกข์ภัยให้คนไข้  ซึ่งจุดเริ่มต้นของการเป็นหมอผู้เปี่ยมด้วยเมตตา เกิดจากเห็นคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นหมอและเปิดคลินิกรักษาคนไข้มาตั้งแต่เราเป็นเด็กทำให้ภาพอาชีพอื่นไม่เคยรู้จัก ทั้งที่ครอบครัวก็ไม่เคยบังคับ แต่ทว่าพี่ชายคนกลางก็เลือกเดินตามรอยคุณพ่อคุณแม่แม้พี่ชายคนโตจะเลือกเป็นทูต โดยในวันที่ตัดสินใจจะเป็นหมอเกิดจากวันนั้น เป็นช่วงปิดเทอมคุณพ่อคุณแม่มักพาพวกเราสามคนพี่น้องไปพักผ่อนที่บางแสน แต่ก็เกิดอหิวาระบาดพอดี แทนที่พวกเราจะได้พักผ่อนกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่ต้องขนวัคซีนจากกรุงเทพไปฉีดให้คนแถวนั้นโดยไม่คิดเงิน!! ความใจดี มีเมตตาและการอบรมสั่งสอนของคุณพ่อคุณแม่ตราตรึงใจเด็กชายที่ก่อนหน้างอแง เพราะถูกพรากเวลาพักผ่อนไป แต่เมื่อคนที่มารับวัคซีนต่างเรียกคุณพ่อคุณแม่ว่า “คุณหมอเทวดา” ความคิดในวัยเด็กจึงเปลี่ยนไปจากได้รับการกล่อมเกลาอย่างดี ทำให้วันนี้ ณ โรงพยาบาลวชิระ ได้มี “นายแพทย์ปภาภัค ณ สงขลา” ศัลยกรรมระบบปัสสาวะ ประจำอยู่เพื่อรักษาคนไข้ โดยคุณหมอเอได้เผยถึงความภูมิใจในการเป็นหมอว่า…

“ชื่อหมอเอ นายแพทย์ ปภาภัค ณ สงขลา ครับ คือเมื่อก่อนพี่ทำงานบริหาร แต่ปัจจุบันเนี่ยพี่เป็นหมอทางด้านศัลยกรรมระบบปัสสาวะ พี่จบจากโรงพยาบาลศรีนครินทร์ที่ขอนแก่น พอจบแพทย์พี่ก็ไปเรียนต่อผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง คือ ศัลยกรรมทั่วไป พอจบจากศัลยกรรมทั่วไปพี่ก็มาเรียนศัลยกรรมระบบปัสสาวะ โดยศัลยกรรมทั่วไปพี่เรียนที่ขอนแก่น แต่ศัลยกรรมระบบปัสสาวะพี่มาเรียนที่ศิริราช ที่กรุงเทพฯครับ

ทราบว่าเรียนหมอต้องใช้ทุนพี่ใช้ทุนไหมคะ?

พี่ใช้ทุนครับ ของพี่เรียน 6 ปี เราต้องเรียน 6 ปี เรียนเสร็จแล้วเราก็ต้องออกไปใช้ทุน เมื่อก่อนต้องใช้ทุน 3 ปี ทุนคือ แพทย์ที่รัฐบาลส่งให้เรียน ใช้ทุนของรัฐบาลเรียนหมดในสมัยยุคพี่ มันก็เป็นข้อกำหนดแล้วว่าพอจบแพทย์ 6 ปีแพทย์ทุกคนต้องทำงานให้รัฐบาล 3 ปี การทำงานให้รัฐบาล 3 ปีก็เรียกว่าทำงานชดใช้ทุน ซึ่งของพี่เป็นการชดใช้ทุนในมหาวิทยาลัย แต่อย่างคนอื่นเขาจบแพทย์เขาอาจต้องไปใช้ทุนที่จังหวัดเลย หรือไปใช้ทุนที่นครพนมอะไรพวกนั้น แต่ของพี่เป็นแพทย์ใช้ทุนที่เรียกว่า พชท.(แพทย์ใช้ทุน) การใช้ทุนที่มหาวิทยาลัยข้อดีคือ มหาลัยวิทยาลัยเป็นที่ผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอยู่แล้วด้วย อาจารย์จะชี้ว่าใครจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะมีแนวโน้มว่าจะเป็นสตาฟต่อหรือเป็นไรต่อ อาจารย์ก็เลือกพี่พี่ก็เป็นแพทย์ที่ใช้ทุนในมหาวิทยาลัย คราวนี้ข้อกำหนดของแพทย์ใช้ทุนมหาวิทยาลัย ก็คือคุณใช้ทุน 3 ปี แต่ว่าถ้าเกิดคุณจะต่อช่วงเวลาใช้ทุนคือเรียนไปด้วยเป็น 4 ปี ก็จะมีสิทธิ์สอบบอร์ดเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พี่เรียนที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น 4 ปี พี่ก็ได้บอร์ด GENศัลมา GENศัล ก็คือ ศัลยกรรม เรียกง่าย ๆ  GENศัล

          แล้วพี่ก็เป็นสตาฟGENศัลอยู่ 1 ปี อย่างว่านะภูมิลำเนาเราก็อยู่กรุงเทพ คุณพ่อคุณแม่ก็อยู่กรุงเทพฯก็อยากให้เราโอนย้ายมา พี่ก็เลยขอโอนย้ายมาที่กรุงเทพ จริง ๆ พี่อยู่ขอนแก่นพี่ก็สนใจเรื่องศัลยกรรมระบบปัสสาวะอยู่แล้วด้วยพี่ก็สมัครโรงพยาบาลวชิระ ก็จะมีแผนกย่อยเหมือนกับมหาวิทยาลัยทั่ว ๆ ไป เหมือนโรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่แหละ ศัลยกรรมก็จะแบ่งเป็นทางด้านเฉพาะทางต่าง ๆ นานาเป็นต้นว่า ศัลยกรรมทั่วไปก็คือ GENศัลนี่แหละ, ศัลยกรรมระบบปัสสาวะก็คือยูโร, ศัลยกรรมระบบประสาท, ศัลยกรรมเด็ก พี่มาก็สามารถอยู่ศัลยกรรมทั่วไปได้ แต่พี่ก็อยากเรียนต่อ ก็ไปสมัครแผนกศัลยกรรมระบบปัสสาวะหรือศัลยกรรมยูโร แล้วพี่ก็เอาทุนของโรงพยาบาลวชิระไปเรียนต่อที่ศิริราชเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางก็คือต่อยอดขึ้นไปฮะ แล้วหลังจากจบที่ศิริราชพี่ก็มาทำที่โรงพยาบาลวชิระ ด้านศัลยกรรมเฉพาะทางระบบปัสสาวะ

เหตุผลที่เลือกศัลยกรรมระบบปัสสาวะเพราะ?

          ในภาพความเป็นหมอเราไม่ได้มองว่าเป็นอวัยวะทางเพศ มองเป็น ‘โรคภัย’ และระบบปัสสาวะก็ไม่ได้รักษาแค่ตรงอวัยวะทางเพศ มีขึ้นมาถึงไต ท่อไต ท่อปัสสาวะ พี่มองเป็นโรคภัย ซึ่งหมอจะไม่ได้มองเป็นอวัยวะแต่มองเป็นโรคภัยที่อยู่ในอวัยวะนั้นมากกว่า แม้แต่ศัลยกรรมระบบลำไส้ใหญ่ (ที่เก็บอุจจาระ) น้องคิดดูนะ ในอุจจาระถ้ามันอยู่ในส้วมขนาดเราใส่ถุงมือเรายังขยะแขยง ไม่อยากไปจับเลยใช่มั้ยล่ะครับ ถ้าอยู่ในร่างกายคนแล้วอยู่ในลำไส้เรานี้ น้องเอ้ยยพวกหมอนี่ค่อย ๆ ประคองหยิบจับไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอุจจาระไง รู้สึกว่าเป็นแค่ส่วนประกอบในร่างกาย พวกหมอเวลาทำงานก็จะเห็นแบบนี้มากกว่า

เคยได้ยินหมอGENใหม่บางคนเห็นแผลเบาหวานที่เท้าคนไข้ไม่เคยมองราวรังเกียจ ในฐานะหมอมีความเห็นอย่างไร?

          พอเวลาผ่านไปพี่ว่ามันเป็นการหล่อหลอมมากกว่า ในสมัยคุณพ่อพี่เป็นหมอสอนให้เราดูแลคนไข้ยังไง แม้แต่อาจารย์ทองอวบ อุตรวิเชียร อาจารย์ศัลยกรรมทั่วไปที่ขอนแก่น และอาจารย์ธงชัย พรรณลาภ (ยูโรระบบปัสสาวะ) สอนมาว่าเขาต้องทำตัวยังไง ดูแลคนไข้ยังไง เป็นการหล่อหลอมตามนิสัยเรามาว่า ในการที่เราดูคนไข้ดูว่าเป็นโรคภัยจะใช้คำว่า ดูด้วยความเมตตาสงสาร ดูให้เขาหายเจ็บหายไข้ นอกจากความรู้ที่ต้องมีแล้วความเป็นแพทย์ถ่ายทอดมาจากรุ่นพ่อ แม่ ปู่ของพี่จะบอกเสมอว่า หมอดูด้วยความเมตาสงสารนะ ด้วยจรรยาบรรณนะ มีใครมาหาหมอมา Happy new year มีความสุขละไม่มี ถ้าหมอดูแบบคนไข้เจ็บฉันไม่ได้เจ็บมันก็จะดูได้แบบนึงใช่มั้ย แต่ว่าจะดูได้แบบ เออเนาะ เขาเจ็บ เขาทรมาน เขาป่วยเราอยากให้เขาหายเราก็จะดูเขาด้วยความเป็นมนุษย์ ดูด้วยความเป็นคน เราก็จะรู้สึกว่าอยากให้เขาพ้นทุกพ้นทรมานไป ต่างจากที่จรรยาบรรณเหมือนกับข้อห้าม แต่แน่นอนละคนต้องกินต้องใช้ ต้องการเงินอะไรพวกนั้น แค่เรื่องนี้ก็คือนี้คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ คุณเก่งมากเท่าไหร่ เวลานี้คนเข้าคิวรอจะอัปราคาเท่าไหร่ก็ได้ แต่แพทย์ถ้ามีจรรยาบรรณเขาจะไม่ทำอย่างนั้น ฉะนั้นความเมตตาสงสารและจรรยาบรรณมันต้องไปด้วยกัน

จริงไหม? ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครอยากเป็นหมอ เพราะเหนื่อย

          คือตอนนี้มันต่างกันนะ หมอที่รุ่นพี่เป็นแบบมีความเมตตาสงสารและจรรยาบรรณ แต่ในปัจจุบัน ความฟุ่มเฟือยมันเยอะขึ้นมาก หมอบางคนต้องมีไอแพด ต้องมีไอโฟนสารพัด ซึ่งหมอก็คน แล้วในแต่ละบ้าน ในแต่ละสังคมการหล่อหลอมไม่เหมือนกัน พื้นฐานครอบครัวบางคนก็ไม่ได้สอนพอเพียงพอกินพอใช้ ไม่ได้สอนตรงนั้นคือทุกคนต้องหรู พี่ว่ามองถึงมุมนึงแล้ว ถ้าคุณรู้จักคำว่าพอคุณก็จะพอ อย่างในปัจจุบันมีสิ่งล่อใจเพิ่ม แล้วครอบครัวไม่ได้สอนว่าไม่มีดีแล้วนะลูกแต่กลายเป็นว่าสอนให้กอบโกยให้มาก ทำให้หมอในยุคปัจจุบันแทนที่จะมองหมอเป็นอาชีพที่พิเศษมีเมตตาสงสาร กลายเป็นแค่หนึ่งในวิชาชีพ และก็หันมามองแบบว่าอันไหนที่ได้กำไรมาก อันไหนที่ลงทุนน้อยได้กำไรมากอันนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องในยุคปัจจุบัน แต่ถ้าหมอที่ยึดจรรยาบรรณนี่จะไม่มีคำว่า กลางวันกลางคืนไม่มีเสาร์อาทิตย์  สมัยพี่จนปัจจุบันนี้ก็ยังยึดจรรยาบรรณอยู่ แม้พี่อาวุโสแล้วก็จริง แม้พี่ไม่มีชื่อเวรแต่ไม่มีชื่ออยู่เวรก็หมายถึงว่า ‘พร้อมทำได้ตลอด’ นะ คือจริง ๆ แล้วคุณไม่ทำก็ได้เพราะคุณไม่มีชื่ออยู่เวร พี่ไม่ไปก็ได้แต่คนไข้อาจแย่ แต่ถ้าสมมุติรอบไหนอยากได้เที่ยวจริง ๆ เช่นไปต่างจังหวัดกลับมาไม่ทัน เราก็บอกน้อง ๆ ทีมเราไว้ว่าอย่าเอาเคสที่มันพิศดารมาทำรอพี่กลับมาก่อน กลายเป็นว่าหมอพวกนี้มีเรื่องจรรยาบรรณที่คุ้มครองอยู่ก็คือ เรื่องความรับผิดชอบครับ

อาชีพหมอเหนื่อยมาก ทำไมหมอปภาภัคถึงทุ่มเทกับงาน

          พี่ยอมรับว่าเป็นหมอมันเหนื่อยแต่ความสำเร็จในการรักษาคนให้หายนั่นทำให้เรามีความสุขนะ สำหรับพี่เงินไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขคือการทำให้เขาหายโดยใช้วิชาชีพที่เราเรียนมา ซึ่งมันไม่ใช่เเหนื่อยธรรมดานะ มันโคตรเหนื่อยเพราะเราลงทุนลงแรง  ปัจจุบันพี่ทำงานอยู่สองด้าน ด้านนึงคือ การรักษาคนไข้ อีกงานนึงก็คือการสอนหมอรุ่นใหม่ พี่สอนเป็น 10 คน แต่เข้ามาทีละ 2 หรือ 3 คน ซึ่งตอนนี้ก็ผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เป็นศัลยกรรมแบบที่อาจารย์ที่สอนพี่มาเราก็ทำหน้าที่ ทำให้พี่มองย้อนกลับไปก็เหมือนพี่ถูกอาจารย์สอนแบบตอนนั้น โดยเราก็ทำหน้าที่สอน สิ่งที่เราเห็นแล้วภูมิใจก็คือ ลูกศิษย์เราทำงานได้ รักษาคนไข้ได้ ซึ่งก็มีหลายรุ่นที่พี่สอนแล้วลูกศิษย์ที่จบออกไปก็ไปทำงานไปรักษาคนไข้ที่ต่างจังหวัด มันเป็นสิ่งที่พี่โคตรภูมิใจ เพราะอะไรรู้ไหม ในวันที่เราหมดแรงแต่เราก็มีลูกศิษย์มาช่วยต่อลมหายใจ หรือในวันที่คุณไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วคุณก็มีคนถ่ายทอด เหมือนอย่างที่พี่ได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณพ่อคุณแม่และอาจารย์ซึ่งพวกท่านไปอยู่บนฟ้าหมดแล้ว แต่สิ่งที่อยู่บนดินก็ไม่ได้ศูนย์เปล่าเลย อย่างน้อยที่เราทำงานหนักมันก็ไม่ได้ตายไปจากโลกใบนี้นะ

มีเคสไหนประทับใจ เพราะหมอปภาภัคบอกการรักษาคนไข้คือความภูมิใจที่สุด

          ตอนที่เราจบมาแล้วเป็นผู้เชี่ยวชาญเรามีความสามารถในระดับนึง เคสที่ประทับใจที่สุด เริ่มเคสแรก ๆ ของชีวิตตอนที่พี่เป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ที่ขอนแก่น พี่ทำGENศัลอยู่ คนไข้เจออุบัติเหตุมา เลือดออกที่บนชั้นเยื่อหุ้มสมองผลเป็นตายเท่ากัน ซึ่งคนต่างจังหวัดจนด้วยห่างไกลความเจริญด้วยมาแบบผ้าถุง มาเสื้อคอกระเช้าแม่ก็จับลูกมาเจอหน้าเราก็ร้องไห้ตอนนั้นพี่ยี่สิบกว่า ๆ พอเขามาถึงก็ร้องไห้เรียกพี่ หมอช่วยลุกฉันด้วยนะ ๆ แล้วก็กราบลงที่พื้นเลย พี่ตกใจ! ที่ประทับใจคือตกใจไม่เคยนึกถึงว่าเราจะเจอไรแบบนี้ คือหมอกับญาติคนเจ็บนั่งคุยกันบนพื้นทั้งที่เก้าอี้ก็มีนะ พี่ก็บอกว่า หมอจะช่วยเต็มที่ เคสนี้เราก็ไปผ่าตัด พอผ่าตัดแล้วอาการคนเจ็บดีมาก จากที่ว่าเป็นตายเท่ากันคนเจ็บไม่รู้สึกตัว เรียกว่าตายอะพูดง่าย ๆ แต่หลังผ่าตัดคนเจ็บนอนคืนนึงก็ฟื้นมาแบบไม่เจ็บแผล พอไปเยี่ยมคนเจ็บทุกครั้ง พี่กับแม่คนเจ็บแทนที่จะยืนคุยกลายเป็นนั่งพับเพียบคุยกันหน้าเตียง แม่คนเจ็บนั่งพับเพียบกับพื้นอั้ยเราจะยืนหัวโด่ค้ำหัวเขาก็ไม่ได้ กลายเป็นว่ามาราวเตียง(มาดูคนไข้) แม่บ้านต้องถูพื้นตรงนั้นดี ๆ เพราะหมอไปดูคนเจ็บเตียงนั้นก็จะนั่งพื้นทั้งทีมคุยกับแม่คนเจ็บกัน (เล่าไปหัวเราะไป) เคสนั้นมันก็เป็นอะไรที่เราประทับใจ แล้วพอเขาหายเราก็ดีใจ เขามองเราเหมือนเทพเจ้าองค์น้อย ๆ ได้ให้ชีวิตลูกเขา เป็นอะไรที่พี่ประทับใจนะ ก็มีอีกเคสนึงเจอที่โรงพยาบาลวชิระ คนไข้เป็นมะเร็ง ตอนหลังคนไข้เป็นมากขึ้นเราก็บอกลูกสาวว่าหลัก ๆ ก็ยาแก้ปวด หมอทำไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ ดูแลคุณแม่ให้มีความสุขมาก ๆ ยาหมดก็มาไม่ต้องเอาคุณแม่มาก็ได้ รายนี้ลูกสาวบอกหมอว่า ยังไงคุณแม่อยากมาเจอหมอทุกรอบ ก่อนจะตรวจพี่จะเห็นชื่อคนไข้ก่อนเสมอ เราก็จะคอยถามว่าคนไข้คนนี้มารึยัง เพราะแทบจะไม่ไหวมาทีหอบหิ้วมาเลยแต่ก็อยากมาเจอหมอ แต่มารอบหลังคนไข้บอกกับพี่ว่า ฉันมาลาคุณหมอ ฉันรู้ตัวว่าไม่ไหวแล้ว มากราบคุณหมอที่ดูแลฉันมาตลอด ฉันก็รู้วาคุณหมอเหนื่อยกับฉันเหลือเกิน มากราบขอบพระคุณค่ะ พี่ก็ได้แค่ให้กำลังใจ กับคำพูดคนไข้ พี่ตื้อเลย ไม่รู้จะพูดยังไง พูดแค่ว่า “ไม่เป็นไรครับ หมอมียาไปให้นะครับ กินน้าจะได้ไม่เจ็บไม่ป่วย ถ้าเกิดมีอะไรหมอเปิดโทรศัพท์ตลอด 24 ชั่วโมงนะ มีไรโทรมาก็ได้”

จริง ๆ พี่ก็เปิดโทรศัพท์ตลอด 24 ชั่วโมงนะ ทีมหมอกับพี่เปิดโทรศัพท์ 24 ชั่วโมงไม่เคยปิดโทรศัพท์เลย แล้วคนไข้คนนั้นก็บอกขอจับมือคุณหมอหน่อย พอส่งพ้นประตูแกก็พยายามยกมือไหว้เรา ๆ ก็สวัสดีครับ แล้วพอผ่านไปประมาณ 3-4 วันแกก็เสีย พี่รู้ข่าวว่าแกเสียแค่นั้นเอง เสร็จงานศพลูกสาวก็มาหาพี่บอกก่อนคุณแม่เสียได้ฝากของชำร่วยในงานศพเตรียมไว้ให้คุณหมอแล้วก็เขียนว่า ‘กราบขอบพระคุณหมอค่ะ ฉันเตรียมไว้ให้คุณหมอค่ะ ฉันรู้ตัวว่าฉันไม่สามารถมาได้อีกแล้ว’ นี่ก็เป็นคนไข้อีกเคส  พี่ว่าอาชีพหมอเป็นอาชีพที่บางคนก็หนีเพราะเจอคนไข้เสียชีวิต  น้องลองคิดดูนะ ถ้าเป็นอาชีพอื่นไม่ต้องอะไรมาก เช่นเปิดร้านอาหาร น้องจะเลือกไปร้านอาหารที่อร่อย พอกินอิ่มก็จ่ายเงิน ถ้าอร่อยก็ไปกินอีก เราจ่ายเงินเพราะความสุข แต่สำหรับหมอมันค้าขายแต่ความทุกข์นะ คือมาหาหมอก็ไม่รู้จะได้กลับรึป่าว หรือจะได้กลับบ้านสภาพไหน แต่จากคนข้างนอกที่มองหมอเห็นหมอสวมชุดกราวน์ ดูหรูหราในโรงพยาบาลแบบพระเจ้าองค์น้อย ๆ เดินอยู่บนวิมาน แต่น้อยคนที่จะเห็นภาพอีกภาพขณะปฎิบัติงาน ถ้าเป็นหมอผ่าตัด ทั้งเลือดทั้งอะไร ซึ่งคนก็จะมองหมออีกแบบนึงต่างกัน

อยากให้ฝากถึงผู้ที่อยากเป็นหมอควรยึดสิ่งใดในการทำหน้าที่ให้ดี

เวลาที่น้องอยากจะเป็นแพทย์ ดูก่อนว่าน้องชอบอะไร ถ้าเกิดน้องบอกได้ว่า น้องชอบในการรักษาคน น้องชอบที่จะช่วยเหลือคน น้องชอบที่จะดูแลชีวิต ดูแลเขาให้หายเจ็บหายป่วยน้องไม่ผิดหวังหรอกในการมาเป็นแพทย์ แต่ถ้าเกิดว่าน้องบอกว่า น้องมาเป็นแพทย์เพื่อเงิน คิดให้หนัก คิดให้หนัก ถามว่าเป็นแพทย์เงินเยอะมั้ย ถ้าน้องอยากหาจริง ๆ ในการเป็นแพทย์ก็ได้เยอะ แต่น้องต้องหาบนความทุกข์ยากของชาวบ้านชาวเมืองเขานะ ถ้าเกิดว่าน้องคิดว่าหาเงินแบบนี้ด้วยความทุกข์ยากด้วยความอะไรอย่างนี้ หมอก็ไม่ต่างกับโจรนะ เพราะฉะนั้นคิดให้หนัก ดูให้รอบคอบและคิดดูให้ดี  แต่ถ้าคุณรักงานจริง ชอบดูแลคนไข้จริง ๆ หมอก็เป็นอาชีพที่มันมีความสุข เพราะเราก็คือ ผู้ปัดเป่าทุกข์ภัยจริง ๆ นะครับ” 

Related posts