เปิดปก…อกนักเขียน
“อมยิ้มรสขม”นักเขียนน้องใหม่ที่ผลงานเป็นที่ยอมรับ“ซ่อนรักกำแพงใจ”
บางครั้งการได้เห็นปก เห็นโปรยหลัง ก็พอให้อยากรู้จักนักเขียนคนนั้นๆ สำหรับนักเขียนท่านนี้รู้จักเพราะยอดโหลดอีบุ๊กเลขห้าหลักในช่วงที่นักเขียนแตกเป็นดอกเห็ด ทว่าผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งติดโบแดง ทำให้นักเขียนยิ้มปลื้ม ซึ่งเป็นแรงดึงดูดให้เราอยากสัมภาษณ์ถึงประสบการณ์งานเขียนที่เพิ่งผ่านตานักอ่าน 3 เรื่อง กระตุ้นให้อยากรู้จักเจ้าของนามปากกา“อมยิ้มรสขม” หรือ เอม – เอมมิกา อินทะวงศ์ คือเรื่อง“ซ่อนรักกำแพงใจ” จากอ่านคำโปรย! ครั้นได้อ่านเนื้อเรื่องซึ่งคล้ายความรักของพระ-นางที่ซ่อนความรู้สึกไว้ มีดราม่าคลุกเคล้าและตลกมาคั่นอารมณ์ ทั้งยังได้รู้สุภาษิตและคำพังเพยที่เราอาจลืมๆ ไป สำหรับฉากหินที่นักเขียนบอกคือ เลิฟซีนก็สอบผ่านด้วยภาษาละมุนละไมสละสลวย ถือเป็นงานที่น่าตบมือให้กับการก้าวสู้เส้นทางน้ำหมึก โดยเอมเปิดอกพูดคุยอย่างหมดเปลือกเป็นกันเองว่า
“จะให้นับแบบจริงจัง ก็เขียนนิยายมาสองปีแล้วค่ะ เขียนเป็นงานอดิเรก อาชีพจริงๆ เปิดร้านขายเสื้อผ้า แล้วก็ว่างๆ จะมานั่งเขียนนิยายเป็นบางช่วง ถือเป็นงานเสริมที่เรารักและสามารถทำไปพร้อมกันได้กับอาชีพหลัก โดยไม่กระทบต่องานที่เรารับผิดชอบอยู่เป็นประจำค่ะ เหตุผลที่เขียนเพราะใจรักอย่างเดียวเลย มีความรู้สึกว่าเวลาเขียนเหมือนกับเราได้เข้าไปอยู่ในโลกๆ หนึ่ง ซึ่งเราสามารถทำให้เรื่องราวในโลกใบนั้นเป็นแบบไหนก็ได้ตามความต้องการของเรา แต่ก็มีบางครั้งนะคะ ที่เราเผลอตามใจตัวละคร จนแนวเรื่องที่ตั้งใจว่าให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ อาจมีเขวไปบ้าง แต่ก็อย่างว่าค่ะ เรารักพวกเขา ก็ควรตามใจเขาบ้างก็ดีเหมือนกัน ส่วนนามปากกาที่ใช้ตอนนี้ก็มี ‘อมยิ้มรสขม’ ค่ะ เป็นนามปากกาหลัก และมีนามอวตารอีกนามหนึ่ง ซึ่งเอาไว้เขียนแบบตามใจตัวเอง อยากเขียนแนวไหนก็เขียน ตามที่เราอยากจะเขียน ดูเป็นอิสระดีค่ะ ส่วนนามปากกาหลักอมยิ้มรสขม เอาไว้เขียนแนวที่เราเจาะกลุ่มตลาด ซึ่งเราจะมีคนที่ติดตามเราจะชอบอ่านแนวนี้ค่ะ และเราก็ถนัดเขียนแนวนี้ด้วย เหตุผลที่ตั้งชื่อนามว่า อมยิ้มรสขม เพราะนิยายแนวที่เขียนจะเป็นคอมเมดี้ดราม่าค่ะ ตอนแรกก็จะออกแนวแบบเบาสมอง ตลกๆ หน่อย แต่ต่อมาก็จะมีดราม่าเข้ามาสอดแทรกให้ได้หน่วงกันเล็กน้อย แต่เรื่องล่าสุด คือ ซ่อนรักกำแพงใจ จะดราม่าหนักสุดเลย ซึ่งเรามีเจตนาให้นักอ่านพลิกอารมณ์ในการอ่านแบบกะทันหัน และเป็นที่น่าพอใจในระดับที่เราต้องการค่ะ
นิยายที่ลงอีบุ๊กเรื่องแรกคือ ม่านรักพรางใจ ต่อมาก็ เล่ห์ร้ายหัวใจป่วนรักค่ะ เป็นแนวโรแมนติกปนดราม่าเล็กๆ ซึ่งไม่มาก แต่เน้นอบอุ่นหัวใจมากกว่า ซึ่งผลตอบรับก็ถือว่าดีพอสมควรสำหรับคนเขียน และเหตุผลที่เลือกเขียนแนวนี้เพราะความสุขที่ได้เขียนและอารมณ์อยากที่จะเขียนในตอนนั้นล้วนๆ เลยค่ะ ตอนแรกคิดว่าจะเอาไว้อ่านเองด้วย(หัวเราะ) ตั้งแต่เริ่มเขียนจนตอนนี้ก็จะเป็นแนวคอมเมดี้ดราม่าเหมือนเดิมค่ะ คือเราอยากให้คนอ่านได้ซึมซับกับทุกอารมณ์ที่เราอยากจะสื่อ ส่วนฉากหินนั้นแน่นอน ว่าต้องเป็นเลิฟซีนเลย เพราะต้องใช้คลังคำให้ดูซอฟและสละสลวยไม่น่าเกลียด คืออยากสื่อออกมาให้สวยงามค่ะ ในความรู้สึกซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงยากอยู่ จะอาศัยศึกษาศัพท์จากนิยายของนักเขียนเก่งๆ นำมาปรุงให้เข้ากับฉากที่เราจะเขียนค่ะ ซึ่งในฐานะนักเขียนน้องใหม่ที่หันมาลงนิยายในอีบุ๊ก ผลตอบรับก็น่าพอใจค่ะ ได้มีนิยายติดโบแดงกับเขาด้วย และติดทุกเรื่องที่ลง ถือว่าโอเคเลยสำหรับตัวนักเขียนเองค่ะ รู้สึกดีใจค่ะ ที่นิยายของเรามีคนซื้อและสนใจเกินกว่าที่คาดเอาไว้มาก ที่ถามว่านิยายติดโบแดงสร้างความกดดันให้นักเขียนไหม? ก็ไม่กดดันค่ะ เพราะเราก็ยังเขียนในแบบที่เราอยากเขียน เขียนแล้วมีความสุข นั่นก็ถือว่าเป็นผลกำไรแล้วค่ะ ถามถึงความถนัดส่วนตัวถนัดนิยายแนวตลกค่ะ เขียนแล้วไม่เครียดดี ส่วนฉากที่ชอบเขียนมากที่สุดคือ ฉากที่นางเอกกับพระเอกเฉือนคมกัน แล้วเราก็จะลำเอียงให้พระเอกชนะตลอด(หัวเราะ)
การทำให้นิยายเป็นที่รู้จัก ไม่มีสูตรอะไรเลยค่ะ ก็แค่โพสต์ลงเฟซบุ๊กอย่างเดียว ส่วนใหญ่ฐานแฟนคลับก็จะอยู่ในเว็บที่เราลงมากกว่าค่ะ และเรื่องกลยุทธ์ในการนำเสนอผลงานให้ถูกใจตลาด ก็ไม่มีเลยค่ะ ทำด้วยใจล้วนๆ เชื่อว่าถ้าเราทำด้วยความรัก คนอ่านที่สามารถเข้าถึงในสิ่งที่เราสื่อก็จะรักงานของเรา รักตัวละครของเราค่ะ ส่วนนิยายเรื่องสั้นราคาไม่ถึงร้อยก็อยากเขียนนะคะ แต่ยังไม่ได้ลงมือเลย เพราะถนัดเรื่องยาวมากกว่า คิดว่าน่าจะเขียนในนามอวตารค่ะ ส่วนในนามปากกาหลักวางไว้ปีละสามเรื่องค่ะ คือเราต้องทุ่มเทหาข้อมูลด้วย แล้วก็ไม่ได้มีเวลามากมาย เพราะต้องดูแลร้านค่ะ ส่วนพล็อตนิยายก็มักจะผุดขึ้นมาตอนเราอารมณ์ดีค่ะ ซึ่งไม่กำหนดว่าตอนไหน ด้วยความที่เราชอบเขียนนิยายฮาๆ ด้วยมั้งคะ นิยายแต่ละเรื่องใช้เวลาเขียนประมาณสี่เดือนค่ะ ที่ใช้เวลานานเพราะตันค่ะ(หัวเราะ) บางทีก็รอให้ไฟลุกก่อนแล้วค่อยเขียนแบบรัวๆ และอีกอย่างก็ยุ่งกับร้านด้วยค่ะ ด้วยความที่เป็นน้องใหม่ในวงการ ก็ถือว่ามีเรื่องให้ต้องปรับปรุงอยู่นะคะ อย่างเช่นชอบดอง(หัวเราะ) ไม่ใช่ค่ะ น่าจะเป็นเรื่องคำศัพท์ที่ค่อนข้างมีน้อยค่ะ ซึ่งเวลาเราจะหยิบคำมาเขียนให้ดูดี ก็ต้องมีการคิดนานพอสมควร เพื่อให้คนอ่านจินตนาการได้ตามที่เราคิดไว้ค่ะ
สำหรับกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์นั้น ก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ถึงแม้ไม่เคยโดนหรืออาจจะไม่รู้ว่าโดน แต่ก็รู้สึกแย่นะที่มีข่าวเวลานักเขียนคนอื่นโดนก็อปงาน ซึ่งอยากบอก ว่านิยายเรื่องหนึ่งกว่าจะเขียนจบไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่อยากให้กลุ่มคนเหล่านั้นทำนาบนหลังคนค่ะ แต่ยอมรับว่ากลุ่มคนอ่านก็หูตาไวไม่น้อย เวลาใครโดนละเมิด ก็มักจะรู้ข่าวมาจากคนอ่านนี่ล่ะค่ะ
นิยายที่ไม่มีวันตายเหรอคะ ก็น่าจะเป็นนิยายรักค่ะ ตราบใดที่ยังมีความรักบนโลกใบนี้ นิยายรักก็ยังคงขายได้แน่นอน เอมเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่งค่ะ ก็ช่วยผ่อนคลายจากการเขียนนิยายหรือแม้แต่งานหลักได้พอสมควรเลย คือแค่เรามองหน้าเขาเราก็เกิดรอยยิ้มแล้วค่ะ ส่วนคำถามที่ว่านิยายอีบุ๊กเลี้ยงตัวเองได้ไหม ถ้ามีเวลาให้กับการเขียนเต็มที่ น่าจะสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ในระดับหนึ่งเลยค่ะ แต่ส่วนตัวเลือกทำงานหลักและมีนิยายเป็นงานอดิเรกจะดีกว่า เพราะเราไม่ต้องมานั่งกดดันเรื่องการเร่งรัดต้นฉบับจนเกินไป อยากทำงานที่เรารักให้มีความสุขค่ะ เพราะหากเราทำด้วยความรักและมีความสุขที่จะทำ เชื่อว่างานจะออกมาดีค่ะ ส่วนเรื่องนิยายที่ลงอีบุ๊กถามว่ามีต้นทุนไหม ก็มีนะคะ อย่างน้อยก็ค่าปก ค่าอุปกรณ์ที่ต้องมี ค่ามันสมอง ค่าพิสูจน์อักษรในบางครั้งที่เราต้องการความรวดเร็ว แบบไม่อยากนั่งเสียเวลาตรงนี้และที่สำคัญค่าฝากขายค่ะ ที่เปรียบเสมือนค่าเช่าร้านที่ทางเว็บหักจากยอดขาย
ผลงานที่กำลังปั่นอยู่ตอนนี้คือเรื่อง 365 วัน ห้ามใจไม่ให้รัก ค่ะ ติดตามได้ที่เว็บเด็กดี และถ้าเขียนจบ ก็ลงขายที่ mebmaket ฝากติดตามผลงานของ นามปากกา อมยิ้มรสขม ด้วยนะคะ”
คำถามนิยายจีนของ“ไป๋เหลียน” : ชายาบรรณาการ
คำถามนิยายล่าสุดอีบุ๊กของ“อมยิ้มรสขม”คือเรื่อง?
ทราบคำตอบเขียนชื่อ – ที่อยู่ – อีเมล์ และคำตอบให้ชัดเจน ลงไปรษณียบัตร ส่งมาที่
เปิดปก…อกนักเขียน
เลขที่ 32/15 ซ.ลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ผู้ตอบถูก 3 ท่าน ได้รับกิ๊ฟโค้ดนิยายจาก อมยิ้มรสขม (ขอบคุณที่สนับสนุนของรางวัล)
หมดเขตส่งคำตอบ 30 พฤษภาคม 2562