อดีตกาลนานมาแล้ว ความยากจน ความอดอยาก ลูกเมียพ่อแม่ไร้อาหารและเครื่องนุ่งห่มรวมถึงบ้านเรือน ทำให้คนจีนแผ่นดินใหญ่จำนวนไม่น้อย นั่งเรือสำเภามาบ้าง เดินบุกป่าฝ่าดงออกมาบ้าง เพื่อแสวงหาดินแดนที่ทำให้ตัวเอง
ลืมตาอ้าปากได้
เพราะบ้านเกิดเมืองนอน ยามแล้งดินแตกระแหง ยากฝนมาน้ำท่าเกินความต้องการท่วมเรือกสวนไร่นาบ้านเรือน จนทุกข์แสนสาหัส
คนพอที่จะมีเงินบ้าง ก็ขายสมบัติทั้งหมด หอบเงินก้อนสุดท้ายติดตัว หอบเสื่อผืน หมอนใบ จอบอัน ห่อข้าวหมูแดดเดียวไว้กินระหว่างรอนแรม นั่งหนาวสะท้านยะเยือกร่างในเรือสำเภา ดินแดนริมฝั่งชายทะเลในดินแดนโพ้นไกลคือเป้าหมายของเรือสำเภาที่จะพามา
เมื่อเอาหน้าสู้ดิน เอาหลังสู้ฟ้า ใช้จอบขุดดินจนได้แร่ดีบุก ใช้จอบถากถางป่าปลูกยางพารา
ชีวิตที่เคยตกอับยากจน อดหลายมื้อกินมื้อ พอมีเงิน พอลืมตาอ้าปาก คนเหล่านี้ไม่ลืมกำพืดเดิม ลงเรือสำเภากลับบ้าน เพื่อไปรับพ่อแม่ ปู่ย่าตายายและลูกเมียรวมถึงญาติพี่น้อง เข้ามาสู่ดินแดนรกร้างไร้ผู้คน จับจองที่ดินทำกินเพราะคนพื้นถิ่น มีสมองแต่ไร้แนวคิดในการพลิกผืนดินที่มีให้กลายเป็นสินทรัพย์ พอจะขยับขยายมีเมียน้อยเมียมากเพื่อแสดงฐานะและบารมีรวมถึงอำนาจ
หลายตระกูลจากจีนหลั่งไหลเข้ามา กลายเป็นคนมี
แซ่
ตระกูล ตัน
ตระกูล อ๋อง
ตระกูล สารพัดหลั่งไหลเข้ามา บ้างมีสมองและสายตายาวไกล ขุดดินไป เจอแร่ดีบุกไป จึงทำกิจการเหมืองแร่และเอาเรือสำเภากลับไปรับคนจีนที่อดอยากหิวโหยให้กลับมาลืมตาอ้าปากแย้มยิ้มเป็นกุลี ผัวไร้ความรู้ไปทำงานแบกหามเป็นกุลี เมียมีฝีมือเป็นแม่บ้านทำอาหารเลี้ยงผัวและลูก นานไปหน้าบ้านก็เปิดเพิงหมาแหงนขายอาหารตามสั่งแต่ไม่ค่อยได้ดั่งใจเพราะเขาเขียนด้วยชอล์คไว้ข้างฝาว่า
ทำอาหารอะไรเป็นบ้าง
บางคนอยากได้แปลกๆ จากที่เขียนบนกระดานสั่งให้ทำ คนทำก็ทำไม่เป็นแต่ต้องดันทุรัง กินไม่ได้
เทให้หมากิน หมาดมแล้วสะบัดหน้า สะบัดตูดแถมตดใส่อีกหนึ่งทีจนมีคำกล่าวขานว่า
หมาไม่แดก
เมื่อคนจีนที่อพยพมาแบบเสื่อผืนหมอนใบ มีฐานะ ก็กลับไปบ้านเกิดเมืองนอน ไปยังศาลเจ้าบรรพบุรุษ เพื่ออัญเชิญ ขี้ธูปใส่กระถางมา บ้างก็ให้ช่างแกะสลักแกะไม้รูปเทพเจ้าจอซือกงที่มีความเชี่ยวชาญด้านหมอรักษาบ้าง เทพเจ้ากวนอิมบ้าง เทพเจ้ากวนอูบ้าง บุ้นเถ่ากงบ้าง ผ่อต่อกงบ้าง ฮกล๊กสิ่วบ้าง สารพัดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือรวมถึงเห้งเจีย นาจา จี้กง โป๊ยเซียนและฮ้อเอี๋ย
อัญเชิญขึ้นเรือสำเภา กระถางธูปที่ใส่ขี้ธูปมา ก็กลัวเจอลมพายุระหว่างทางจะพัดปลิวจึงต้องหาที่ครอบบังเพื่อมิให้ปลิวจนเหลือขี้ธูปไว้ติดก้นกระถาง
ตระกูลไหนที่มีที่ดิน มีฐานะ ก็นำมาประดิษฐาน สร้างอาคารเล็กๆที่เรียกว่า อ้าม หรือภาษากวางตุ้งเรียกว่า หมิว หรือคนไทยเรียกว่า ศาลเจ้า โดยมีอาณาบริเวณให้คนที่มากราบไหว้ได้จอดเกวียนเทียมควายบ้าง วัวบ้างตามแต่สถานะในแต่ละพื้นที่
นานเข้าคนจีนที่มีฐานะร่ำรวย รวมตัวกันเป็นกลุ่มลงขันจัดตั้งศาลเจ้าตามมุมต่างๆของเมืองทุ่งคายุคสมัยนั้นที่ต่อมาเราเรียกว่า ภูเก็ต ตามที่มีคนเรียกว่า บูกิ้ต
ศาลเจ้าหลักของตระกูลนายเหมืองที่มีนายเหมืองเอาขี้ธูปใส่กระถาง และเอาภาพเทพเจ้ากังไสใส่เรือสำเภามา ลงขันกันตั้งศาลเจ้าเพื่อให้ลูกหลานมังกรที่บางรายทำตัวเป็นมังกือ
จึงเกิด
ศาลเจ้ากะทู้
ศาลเจ้าปุดจ้อ
ศาลเจ้าบางเหนียว
ศาลเจ้าท่าเรือ
และต่อมาเกิด
ศาลเจ้าสามกอง
ไม่นับศาลเจ้าเล็กศาลเจ้าน้อยในเวลานั้น
คนจีนบางบ้าน กลับเมืองจีน ไปขนเทพเจ้าที่ตัวเองนับถือ หาออต้อ หอบไม้จันทน์ กระถางดินเผาใส่เรือสำเภากลับมาไว้บูชาในบ้าน
และเพื่อรำลึกถึงวันที่ขนองค์เทพเจ้าเหล่านี้มาขี้นฝั่งที่สะพานหินในอดีต จึงจัดห้วงเวลานั้นเพื่อทำพิธีกรรม ประกอบกับโรคห่าลงเมือง จึงกลายเป็นส่วนควบ เรียกพิธีกรรมนั้นว่า วันกินผัก
คนจีนบางคนนับถือเทพเจ้าเคร่ง วันดีคืนดี เทพเจ้าที่ทำพิธีเบิกเนตรมาจากเมืองจีน อัญเชิญวิญญานเข้าองค์เทพที่ทำจากเครื่องกังไสบ้าง ไม้แกะสลักบ้าง วิญญานของเทพที่สถิตย์ในกังไสหรือไม้แกะสลักจะเข้าประทับทรง เพื่อ
รักษาคนป่วยบ้าง
ปัดเป่าสิ่งเลวร้ายบ้าง
และที่ถือว่าสำคัญที่สุดที่เทพเจ้าถูกอัญเชิญมาบ่อยๆคือ
ให้เลขบอกใบ้หวยเด็ดเลขดัง
จนทำให้คนที่นับถือร่ำรวย และผดุง กระตุ้นให้คนจีนเสียสละเงินค่าจ้างแรงงานมาบริจาคให้คนกลางที่ทำหน้าที่เป็นเจ้ามือหวยหรือเบอร์ ออกแบบจับยี่กีบ้าง ยิงเป้าธนูบ้าง ใช้ปิงปองบ้าง
และ
ปูนบำเหน็จให้ม้าทรงจนมีฐานะตามสัดส่วนที่ถูกหวยเบอร์ และศาลเจ้าถูกยกระดับใหญ่ไปตามความแม่นของม้าทรง
ค่อยอ่านต่อแล้วกัน
หมายเหตุ ภาพที่นำมาเสนอ ไม่เกี่ยวกับเนื้อหา เพียงแค่เอามาประกอบ คนที่ปรากฏในภาพ ไม่ต้องเขียนมาด่าน่ะครับ