สองครั้งแล้วที่เจอกับตัวเองว่า โรงพยาบาลบางปะหัน โรงพยาบาลที่มีหมอวินิจฉัยโรคผิด! หวิดทำคนไข้เสียชีวิต! อีกทั้งการพูดจาสมควรต้องปรับปรุงอย่างยิ่ง สำหรับบทความร้องทุกข์นี้หวังว่าผู้ใหญ่สักท่าน ที่มีอำนาจจัดการกับบุคคลที่สร้างความเสื่อมเสียแก่โรงพยาบาลควรถูกลงโทษ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายซ้ำ ๆ
ข้าพเจ้าเคยพาคุณพ่อ ที่ตอนนี้ท่านเสียไปนานแล้ว ไปรักษาที่โรงพยาบาลบางปะหัน และคุณพ่อเกิดอาการสะอึกไม่หยุด คุณแม่แจ้งพยาบาลขอยาฉีดแก้สะอึกตั้งแต่เช้าจนข้าพเจ้าไปเยี่ยมคุณพ่อตอนเย็นเลยทราบว่า พยาบาลยังไม่ฉีดยาแก้สะอึกให้ เพราะลืม ทำให้คุณพ่อนอนสะอึกอยู่อย่างนั้นทั้งวัน ทั้งที่คุณพ่อเบิกค่ารักษาจากหน่วยงานที่ทำงานอยู่ นี่บ่งบอกถึงความไม่ใส่ใจจดจำคนไข้ที่พยาบาลในชุดขาวพึ่งกระทำ เหตุการณ์ไม่ใส่ใจ และวินิจฉัยโรคผิดก็ยังคงมีอยู่จนถึงหลานชายของคุณแม่ ที่เกิดอาการปวดท้อง ไปโรงพยาบาลบางปะหัน หมอวินิจฉัยว่าปวดท้องธรรมดา ก็ให้ยาแล้วปล่อยกลับบ้าน ทว่าน้องคนนั้นทานยาที่ได้ไปก็ไม่หาย นอนปวดท้องทั้งคืนจนถึงเช้าเลยกลับไปโรงพยาบาลในสภาพหน้าเขียว เพราะปวดท้องอย่างแรง หมอที่ไม่ใช่คนเดิมรีบนำส่งโรงพยาบาลอยุธยา ผลปรากฎว่า น้องคนนั้นไส้ติ่งแตกดีที่ไปถึงมือหมอทัน ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงไปเฝ้าพระอินทร์แล้ว
และเรื่องหมอวินิจฉัยโรคผิดพลาดยังมีต่อเนื่อง จากหลานของคุณแม่จนมาถึงน้องชายของข้าพเจ้า เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2562 น้องชายของข้าพเจ้าเกิดปวดท้อง มีไข้ คลื่นไส้ ก็ขับรถไปโรงพยาบาลบางปะหัน เพราะใช้บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า(ทุกข์ถ้วนหน้าก็ไม่รู้) ที่นั่น น้องชายขับรถไปถึงโรงพยาบาลตอนตี 4 ในสภาพหน้าซีด เพราะปวดท้องมาก พอไปถึงก็ยื่นบัตรที่ห้องบัตรแล้วนั่งรอแป็ปนึงก็เข้าห้องฉุกเฉิน หมอเวรถามว่า เป็นไรมาคะ น้องชายตอบว่าจุกเสียดท้อง มีไข้ คลื่นไส้ด้วยครับ หมอก็มากดท้องดูแล้วบอกว่า น้องชายท้องอืด! แล้วก็บอกอีกว่าอาจจะเป็นที่ไต! ไตอาจจะวายได้ ทั้งที่น้องชายปวดท้องมากจะไม่ไหวอยู่แล้ว แล้วก็จะให้น้องชายรักษา ถ้ารักษาต้องเซ็นยินยอม ทั้งสองคนคือน้องชายและน้องสะใภ้ เพื่อจะรักษาต่อ ถ้ารักษาต่อก็ต้องปลุกหมอทั้งโรงพยาบาลเลยนะ ไหนจะหมอผ่าตัดใหญ ไหนจะหมอห้องเอกซเรย์อีก นี่คือคำพูดของคนเป็นหมอ คนที่ร่ำเรียนมาเพื่อช่วยชีวิตคน คุณคิดว่าหมอสมควรพูดกับคนไข้ที่ทรมานจากปวดท้องจนหน้าซีดแบบนั้นหรือไม่? แล้วเป็นถึงหมอวินิจฉัยโรคผิดพลาดขนาดนั้นได้อย่างไร? แล้วถ้ามีคนไข้เชื่อคำวินิจฉัยอะไรจะเกิดขึ้น?
พอหมอพูดแบบนั้นกับน้องชายที่สภาพย่ำแย่ เพราะปวดท้องหนัก น้องชายเลยถามว่ามียาตัวไหนบ้างครับที่พอจะฉีดให้ผมได้บ้าง? หมอก็บอกว่ามียาลดกรด หมอก็ฉีดให้พอฉีดไปแล้วรอดูอาการครึ่งชั่วโมง แต่ก็ยังปวดอยู่ น้องชายเลยพูดว่างั้นผมขอกลับแล้วกัน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายปวดท้อง แต่ต้องบอกหมอว่าค่อยยังชั่วแล้ว เพราะดูท่าหมอไม่ได้คิดหาวิธีรักษาให้น้องชายหายปวดท้องเลย
น้องชายขับรถในสภาพมือกุมท้องมีน้องสะใภ้นั่งไปด้วย ขับออกจากโรงพยาบาลบางปะหันตี 4 ครึ่งกว่า เพื่อไปโรงพยาบาลราชธานี ถึงโรงพยาบาลตี 5 กว่า ในสภาพปวดท้องเหมือนเดิม น้องชายมาโรงพยาบาลราชธานีเพื่อตรวจให้รู้ว่าตกลงเป็นอะไรกันแน่ พอไปถึงก็ถูกพาเข้าห้องฉุกเฉิน หมอที่โรงพยาบาลราชธานีได้ตรวจแล้วบอกว่า น้องชายเป็นไส้ติ่งอักเสบ! แล้วหมอถามว่าใช้บัตรอะไรคะ น้องชายตอบใช้บัตร 30 บาทครับ หมอเลยแนะนำให้ไปโรงพยาบาลอยุธยา แต่หมอโรงพยาบาลราชธานีไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ น้องชายขับรถไปโรงพยาบาลอยุธยา ไปถึงเกือบ 6 โมงเช้า ฝืนขับไปในสภาพปวดท้องมากขึ้น เมื่อไปถึงก็ยื่นบัตร ยื่นบัตรเสร็จน้องชายถูกพาเข้าห้องฉุกเฉิน หมอตรวจอาการพบว่า น้องชายเป็นไส้ติ่งอักเสบ ก็เอกซ์เรย์จากนั้นก็ผ่าตัดทันที ณ วันนี้น้องชายนอนพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลหลังผ่าตัดเสร็จ และโชคดีที่มาถึงโรงพยาบาลทัน หมอแจ้งว่าไส้ติ่งแตกพอดี คุณหมอดูแลน้องชายอย่างดีและใกล้ชิด เนื่องจากน้องชายเป็นเบาหวาน แผลอาจหายช้า
ประสบการณ์เฉียดตายของน้องชายและหลานของคุณแม่ ที่เกิดจากความสะเพร่าและผิดพลาดของผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘หมอ’ วินิจฉัยโรคผิด! ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง มันเกือบพรากชีวิตหลานของคุณแม่และน้องชายไป สำหรับบทความร้องเรียนโรงพยาบาลบางปะหัน ก็หวังว่าจะมีผู้ใดอ่านเจอ และผู้ใหญ่ที่มีอำนาจเห็นบทความนี้แล้วนำไปจัดการบุคลากรที่ไม่มีคุณภาพที่สร้างความเสื่อมเสียแก่โรงพยาบาล ซึ่งที่ผ่านมาโรงพยาบาลบางปะหันส่วนน้อยจะได้รับคำชื่นชม นอกจากกรณีของน้องชายและหลานของคุณแม่แล้ว ข้าพเจ้าได้รับฟังเรื่องของแม่ลูก ที่แม่พาลูกที่มีอาการหอบกำเริบไปโรงพยาบาลบางปะหัน หมอให้ยาและต้องการให้ลูกนอนที่นั่น แต่คนเป็นแม่ไม่สะดวกให้ลูกนอนโรงพยาบาล เนื่องจากไม่มีคนเฝ้า ด้วยฐานะยากจนหาเช้ากินค่ำ วันรุ่งขึ้นคนเป็นแม่ต้องไปรับจ้างขายของ จึงจำต้องพาลูกกลับบ้าน โดยหมอได้พูดออกมาประโยคหนึ่งว่า ถ้าพาลูกกลับไปมาอีกก็ไปวัดเลย ข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องราวก็ทนไม่ไหว มันเป็นคำพูดที่แรงสำหรับคนเป็นหมอ จึงเป็นตัวแทนของแม่ลูกคู่นั้นร้องเรียนไปที่ 1330 เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องร้องเรียนแนะนำให้ครอบครัวนั้นร้องเรียนเอง เนื่องจากเป็นกฎระเบียบ แต่เมื่อเรื่องมาเกิดกับน้องชายของข้าพเจ้าเลยแนะนำให้ร้องเรียน น้องชายเพิ่งผ่าตัดอยู่ช่วงพักฟื้น จึงให้น้องสะใภ้เป็นคนโทร.ไปร้องเรียนและเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดกับตนเองและหลานชายของคุณแม่ให้เจ้าหน้าที่รับรู้ ทางเจ้าหน้าที่บอกจะดำเนินการกับโรงพยาบาลบางปะหัน และถามน้องสะใภ้ว่า ต้องการให้จัดการเรื่องใดบ้าง น้องสะใภ้บอกเรื่องการดูแลเอาใจใส่คนไข้ การวินิจฉัยโรค การพูดจาที่ควรดีกว่านั้น และร้องเรียนแผนกจ่ายยาที่มาทำงานช้ากว่าแผนกอื่น ทำให้คนไข้ต้องนั่งรอเป็นเวลานาน แม้บุคคลเหล่านั้นถูกร้องเรียน แต่ก็ไม่มีการปรับปรุง แก้ไขแต่อย่างใด ทุกวันนี้ก็ยังปฏิบัติอย่างเดิม
ข้าพเจ้าเป็นนักข่าวเว็บไซต์เล็ก ๆ ที่คนในครอบครัวถูกกระทำการอันไม่สมควร จึงต้องออกมาปกป้อง และเป็นกระบอกเสียงให้คนไข้รายอื่นที่ถูกหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบางปะหันปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนไร้ค่า หรือเพราะพวกเขารักษาฟรี! จึงไม่เห็นชีวิตพวกเขาสำคัญอย่างนั้นเหรอ?
เชื่อว่า ไม่เฉพาะโรงพยาบาลบางปะหันที่มีบุคลากรที่ไม่ปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ควรค่าแก่การเคารพยกย่อง ในที่ห่างไกล ที่ผู้ใหญ่มองไม่เห็นการทำงานของคนเหล่านั้น อาจมีตัวร้ายในชุดขาวซ่อนตัวอยู่…