- สูตินรีแพทย์ แนะนำผู้หญิงไทยที่มีอาการ ‘ปวดท้องน้อย อย่าปล่อยผ่าน’ เพราะอาจมีความเสี่ยงเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เตือนให้รีบมาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย และรักษาแต่เนิ่นๆ
สุขภาพของสุภาพสตรีนับเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนและบอบบาง โดยหนึ่งใน ‘ภัยเงียบ’ ที่ใกล้ตัวมากๆ จนส่งผลลบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน นั่นคือ ‘โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่’ หรือที่รู้จักกันดีว่า ‘โรคช็อกโกแลตซีสต์’ หากพบสัญญาณอาการป่วย ไม่ควรละเลยหรือปล่อยไว้นาน เพราะอาจลุกลาม อันตราย และถึงขั้นเสียชีวิตได้
สาเหตุของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เชื่อว่าเกิดจากภาวะประจำเดือนไหลย้อนกลับเข้าไปในช่องท้อง ซึ่งประจำเดือนเหล่านี้มี ‘เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก’ อยู่ด้วยเมื่อไปเกาะอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งก็อาจเจริญเติบโต เกิดเป็นพังผืด อาทิ สะสมอยู่ในรังไข่จนเกิดเป็นก้อนสีดำคล้ำ คล้ายช็อกโกแลต จึงมักเรียกกันว่า ‘ถุงน้ำช็อกโกแลต’ หรือ ‘ช็อกโกแลตซีสต์’นั่นเอง
นพ.อรัณ ไตรตานนท์ สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำโรงพยาบาลตำรวจ เจ้าของเพจให้ความรู้ด้านสุขภาพ “อรัณ ไตรตานนท์ โต๊ะทำงาน” กล่าวว่า ผู้หญิงเกือบทุกคนมีโอกาสที่จะเกิดภาวะประจำเดือนไหลย้อนกลับด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือมีถุงน้ำช็อกโกแลตในช่องท้อง จากการศึกษาพบผู้หญิง 100 คน มีภาวะประจำเดือนไหลย้อนกลับได้ 90 คน แต่เป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกฯ ประมาณ 10-15 คน
สำหรับสัญญาณเตือนภัยผู้หญิงที่เสี่ยงจะเป็นโรคนี้ นพ.อรัณ ระบุว่า มี 5 ประการหลักๆ คือ 1.ปวดท้องน้อยเป็นประจำเวลามีประจำเดือน 2.ปวดท้องน้อยรุนแรงมากขึ้นตามอายุ แม้ในระหว่างที่ไม่ได้มีประจำเดือน 3. ผู้หญิงที่มีบุตรยาก 4. ผู้หญิงที่มีอาการเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ 5. มีแม่ พี่สาว หรือญาติ ป่วยเป็นโรคนี้มาก่อน
สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อผู้หญิงไม่ควรละเลยอาการของตัวเอง เพราะรอยโรคอาจจะใหญ่มากขึ้น อาทิ ช็อกโกแลตซีสต์อาจจะขยายจาก 1 เซนติเมตรอาจเติบโตไปถึงขนาด 8-10 เซนติเมตรได้ และในที่สุดจะแตกและตกเลือดในท้อง จนทำให้เสียชีวิต นอกจากนั้น ยังพบผู้ป่วยสัดส่วนร้อยละ 0.1-1 เกิดภาวะ มะเร็งรังไข่ชนิด Clear Cell เนื่องจากการเซลล์กลายพันธุ์อีกด้วย ซึ่งอาจเป็นอันตรายและส่งผลการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วยในอนาคต
“โรคนี้เหมือนกับทุกโรค คือ รู้เร็ว รักษาทันขอให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ทันที อย่ากลัว และบอกอาการให้ชัดเจน ครบถ้วน อาทิ ปวดตรงท้องน้อยมาก ปวดมากจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เมื่อมีประจำเดือน ทั้งนี้จะทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที”
ทั้งนี้ กระบวนการรักษานพ.อรัณ อธิบายว่า มี 2 แบบ คือรักษาด้วยยาและการผ่าตัด สำหรับการให้ยามีทั้งยาแก้ปวดสำหรับคนไข้ที่ปวดไม่มากและอัลตร้าซาวน์ไม่พบรอยโรค และการให้ยาแบบเฉพาะเจาะจงในกลุ่มที่มีถุงน้ำช็อกโกแลตหรือปวดรุนแรง แต่ยาจะไปขัดขวางการตกไข่ จึงทำให้คนไข้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ จนกว่าอาการจะดีขึ้น และหลังจากมีบุตรแล้ว แพทย์จะประเมินอาการอีกครั้ง เพื่อประเมินโอกาสการกลับเป็นซ้ำและความจำเป็นในการรับประทานยาในระยะยาว
ส่วนกลุ่มคนไข้ที่ต้องผ่าตัด คือรับประทานยาแล้วไม่ดีขึ้น มีปัญหามีบุตรยาก หรือมีถุงน้ำช็อกโกแลตเกิน 3 เซนติเมตร และมีอาการปวดมาก สามารถผ่าตัดผ่านกล้อง ซึ่งเจ็บน้อยและแผลเล็กมาก อย่างไรก็ดีเพื่อลดภาระของคนไข้ แนวทางการรักษาหลักในปัจจุบันจะเป็นการใช้ยาฮอร์โมน (Empirical treatment) ซึ่งจากสถิติพบว่าอาการปวดของคนไข้ส่วนใหญ่หายได้ตั้งแต่ 1-2 เดือนแรกหลักจากรับประทานยา โดยไม่ต้องเจ็บตัวและลดค่าใช้จ่ายจากการผ่าตัดได้
อย่างไรก็ตาม นพ.อรัณ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก แม้ผ่านการให้ยาหรือผ่าตัดแล้ว ตราบใดที่ผู้หญิงยังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ หรือมีประจำเดือนนั่นเอง ระยะปลอดจากโรคนี้จริงๆ คือเมื่อเข้าสู่วัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือนแล้ว
นพ.อรัณ จึงฝากบอกผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคนว่าถ้า “ปวดท้องน้อย อย่าปล่อยผ่าน” รีบมารักษาเนิ่นๆ ก่อนสายเกินแก้ แค่นี้ก็จะหยุดยั้งโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และห่างไกลจากภาวะ ช็อกโกแลตซีสต์ ได้!