เมืองประวัติศาสตร์…สิงห์บุรี ถิ่นวีรชนคนกล้า ตอนที่ 2
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าเรื่องเมืองสิงห์ถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ในสาส์นสมเด็จฯว่า“เมืองสิงห์บุรี”เป็นเมืองใหญ่และเก่ามีป้อมปราการวัดมหาธาตุและของสำคัญคือพระนอนจักรสีห์ ใหญ่กว่าพระนอนในที่อื่นๆ เป็นพระนอนคล้ายกันในถ้ำวัดคูหาภิมุขจังหวัดยะลา พระกรขวาศอกยื่นไปทางทิศหน้า ไม่งอพระกรขึ้นตั้งรับพระเศียรแบบพระนอนไทย เมืองสิงห์เคยมีชื่อต่างๆกันเช่น เมืองสิงหราชาธิราช เมืองสิงหราชา ตั้งอยู่ริมแม่น้ำจักรสีห์อันเป็นแม่น้ำใหญ่ห่่างจากแม่น้ำเจ้าพระยา 200 เมตรพอแม่น้ำนี้ตื้นเขิน เมืองแห่งนี้เลยกลายเป็นเมืองลี้ลับไปอีกนาน.
หลังอาหารเช้า เราเดินทางไปยังหนองลาดที่เคยเป็นบึงขนาดใหญ่400กว่าไร่เมื่อน้ำท่วมซ้ำซากทาง สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่๙ทรง มีพระราชดำริ เกี่ยวกับโครงการช่วยเหลือประชาชน สร้างฟาร์มตัวอย่างเดินรอยทฤษฎีใหม่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวทางช่วยเหลือประชาชนในเขตอำเภอค่ายบางระจันและอำเภอท่าช้าง ให้มีรายได้จากการทำไร่นาสวนผสมตามแนวนี้ สามารถลืมตาอ้าปากได้ นอกจากมาเรียนรู้เรื่องทฤษฎีใหม่ของเศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์แห่งนี้ยังมีการสอนแกะสลักไม้ มีการสอนในการปักผ้าไหมในรูปแบบที่วางเอาไว้ ส่วนในห้องทอผ้าโขนซึ่งจะนำไปถวายในงานพระราชพิธีพระบรมศพของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้ว ทางศูนย์แห่งนี้้ยังปักผ้าไหมดิ้นทองนำไปถวายงานนี้เช่นกัน เรามาเรียนรู้ได้ เห็นการทำงานแบบถวายชีวิตของประชาชนเลย.
จากนั้นเราเดินทางไปวัดสว่างอารมณ์ วัดแห่งนี้มีหนังใหญ่ ที่ใช้เยาวชนมาเชิดหน้าจอได้เห็นการพัฒนาทางการแสดงให้ เข้ากับเหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน การมาเรียนรู้ถึงตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ก่อนและมีส่วนร่วมทางการแสดงไปด้วย ทำให้เราได้ซึมซับเข้าใจวิถีของตัวละครที่จะยกในแต่ละตอนของรามเกียรติ์มาแสดง ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงจึงเข้าใจ ความยากลำบากในการที่จะสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเอาไว้ในอนาคต เพราะโลกทัศน์ ได้เปลี่ยนไปแล้ว เราต้องช่วยกันอนุรักษ์ศิลปการแสดงแขนงนี้ไว้ตราบเท่านานๆ.
การย้อนรอยเพื่อกลับไปสู่ ประวัติศาสตร์ของชาวบ้านบางระจัน ที่เป็นทัพหน้าต่อสู้กับกองทัพพม่า ยกพลมาย่ำยีกรุงศรีอยุธยา นำโดยนายโชติ นายอิน นายเมือง นายทองแก้ว นายจันหนวดเขี้ยว นายทองแสงใหญ่ นายทองเหม็น ขุนสรรค์พันเรือง รวบรวมชาวบางระจันแค่ไม่กี่ร้อย สามารถต้านกองทัพพม่าหลายครั้ง รบชนะถึง 7 ครั้ง สร้างชื่อกระฉ่อนจนกองทัพพม่าเกรงกลัว เรามาชมอนุสาวรีย์ผู้กล้าบางระจัน ไปไหว้ หลวงพ่อธรรมโชติวัดโพธิ์เก้าต้น เพื่อย้อนรอยประวัติศาสตร์บางระจันกันอีกครั้ง.
การเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์อินทร์บุรีเพื่อย้อนรอยกลับไปสู่ประวัตติศาสตร์เมืองอินทร์บุรี ที่รุ่งเรืองในยุคสมัยทราวดีหรือก่อนหน้านี้การขุดพบของโบราณได้นำมาเก็บรวบรวมและจัดแสดงให้เห็นถึงอา ณาจักรของสิงห์บุรีที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตนำมาไว้ในพิพิธภัณฑ์อินทร์บุรีมีครบถ้วน ที่เราจะเดินมาค้้นหาในเรื่องเกี่ยวกับโบราณคดี
เรามากราบ พระนอนจักรสีห์ พระคู่บ้านคู่เมืองชาวสิงห์บุรีมายาวนานหลายร้อยปี เป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วไป ที่มากราบขอพรให้มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตหน้าที่การงานสุขภาพ ก่อนที่เราจะไปปิิดท้ายด้วยการไปกราบหลวงพ่อทรัพย์กับหลวงพ่อสิน พระพุทธรูปประทับยืนปางห้ามญาติ พระพุทธรูปสองพี่น้อง ถูกสร้างขึ้้นให้ยืนในที่แคบๆทั้งสององค์ที่ วัดประโชติการาม ได้เห็นถึงความแปลกใหม่ของพระพุทธรูปสององค์นี้อย่างชัดเจน กราบขอพรก่อนอำลาเมืองสิงห์บุรี เมืองเงียบสงบแบบสโลว์ไลฟ์ เมืองแห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง ขอบคุณสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสิงห์บุรี และ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สทน.ที่ อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทางมาในครั้งนี้