หนังดีติดดาว

หนังดีติดดาว***

              นักแสดงคุณภาพ เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา กลับมาอีกครั้งพร้อม 6 คาแรกเตอร์แปลกตา ในภาพยนตร์ตลกอารมณ์ดี “คุณชายใหญ่” ของค่าย พระนครฟิลม์ ส่งท้ายปีชวด  ‘คุณชายใหญ่’ เล่าเรื่องราวความวุ่นวายในบ้านของ “ตระกูลวงษ์คำเหลา” ที่สืบเชื้อสายมายาวนานจนมาถึงรุ่นปัจจุบัน ที่มี ท่านพ่อ, คุณชายใหญ่, หญิงกลาง, หญิงน้อย, ชายเล็ก และทนายสายันต์ ซึ่งทั้งหมดแสดงโดย หม่ำ หรือ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา คนเดียว

              เรื่องราวของหนังไม่ได้มีอะไรให้จดจำมากนัก แต่ก็เต็มไปด้วยมุกตลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมุกแบบตลกคาเฟ่ ตลกล้อเลียนและเสียดสีกันเอง ตลกด้วยภาษาถิ่นและสำเนียงท้องถิ่น ไปจนถึงตลกแบบสองแง่สองง่าม ซึ่งก็ยิงออกมาแล้วโดนบ้างแป๊กบ้าง พล็อตเรื่องมีจริตที่ล้อเลียนหนังและละครไทยคลาสสิกบางเรื่องซึ่งมันก็ขำการจิกกัดความคลาสสิกแบบไทย ๆ เนี่ยล่ะ  ตัวของหม่ำก็มีความสามารถเล่นเป็นตัวละครหลายตัว บางบทบาทก็ดีนะ แต่บางบทก็รุงรังและน่ารำคาญ จนรู้สึกว่าไม่น่าใส่มาเลย ส่วนตัวละครรองหลายตัวเล่นดีมีขโมยซีนได้หลายตัวทีเดียว โดยเฉพาะมุกตลกที่เอาภาษาถิ่นและสำเนียงท้องถิ่นมาเล่น นี่ต้องยอมรับว่าถึงโดยรวมหนังมันจะไม่ได้ดีเด่นอะไร แต่เฉพาะมุกแบบนี้มันขำจริงอะไรจริง ได้เงินชัวร์

 ติดให้ *

              มงคลภาพยนตร์ ส่งหนังโรแมนติกจากเพลงดังที่จะทำให้คุณตกหลุมรัก Ito ตลอดมา ตลอดไป คือเธอ” กำกับการแสดงโดย เซเซะ ทากาฮิสะ ( The 8 Year engagement )  นำแสดงโดย นานะ โคมัตสึ  และ มาซากิ สุดะ เป็นภาพยนตร์รักทำรายได้เปิดตัวอันดับ 1 ในญี่ปุ่น โดยในอดีตเคยมีเพลงดังจากยุคเฮย์เซย์หลายเพลง ที่ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์สุดประทับใจ  ไม่ว่าจะเป็นเพลง 涙そうそう (Nada Sousou) ที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกับเพลงในปี 2006 และ เพลง ハナミズキ (Hanamizuki) ในปี 2010 ล่าสุดนี้ในปี 2020 ก็ถึงคิวของเพลง 糸 (Ito) ของ มิยูกิ นากาจิม่า และถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานถึง 20 ปี จนเข้าสู่ยุคเรวะ ความนิยมของเพลงนี้ไม่ได้ถดถอยลงไปแต่อย่างใด แต่กลับครองสถิติ “เพลงอันดับ 1 ที่คนเลือกร้องมากที่สุดในคาราโอเกะ” โดย JASRAC ระหว่างปี 2016-2018 ถึง 3 ปีซ้อน ทางด้านแฟนเพลงที่เป็นนักดนตรีก็ไม่เคยลดลง โดยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีศิลปินที่นำเพลงนี้มาร้องใหม่ในฉบับตนเองมากกว่า 120 กลุ่มเข้าไปแล้ว โดย ITO เล่าเรื่องราวความรักระหว่าง เร็น และอาโออิจากยุคเฮย์เซย์สู่เรวะ ทั้งคู่เกิดในปีเฮย์เซย์ที่1 รู้จักกันตอนอายุ 13 ที่ ฮอกไกโด เป็นรักแรกของกันและกัน แต่ไม่นานก็ต้องแยกจากกัน เร็นยังคงรออาโออิ อยู่ที่ ซัปโปโร ทั้งคู่กลับมาเจอกันอีกครั้งตอนอายุ 21 ที่โตเกียว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จังหวะความรักของเร็นและอาโออิก็ต้องเดินสวนทางกันอีกครั้ง จนเวลาล่วงเลยมาในปีเฮย์เซย์สุดท้าย ที่ทั้งคู่อายุ 31 ในวันสิ้นปีโชคชะตาจะทำให้พวกเขาได้กลับมาพบกันอีกครั้งไหม?

              ช่วงแรกหนังจะดูยากนิดหน่อย เพราะเล่าเรื่องในช่วงเวลาที่ต่างกันด้วยการตัดสลับฉากไปมาระหว่างช่วงอายุของตัวละคร ตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ด้วยความครบรสชาติของชีวิตที่ตัวละครต้องเจอ ทำให้รู้สึกได้ถึงความสมจริงของเรื่องราวและเพิ่มมิติความมีชีวิตจิตใจให้ตัวละครไปพร้อม ๆ กัน หนังพูดถึงชีวิตของคนคู่หนึ่งที่ตลอดการมีชีวิตอยู่โดยมีผู้คนผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย มีเหตุการณ์ต่าง ๆ นานาที่เป็นบททดสอบของชีวิต เช่น การเรียนต่อ การก้าวเข้าสู่วัยทำงาน การต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของชีวิต เป็นต้น ในส่วนของที่ไม่ชอบก็คือเนื้อเรื่องบางส่วนมีความ feel good เกินความเป็นจริงไปหน่อย กับมีกลิ่นดรามาแบบละครน้ำเน่าโชยมานิด ๆ แล้วก็ตัวละครรองที่รู้สึกว่าบางตัวก็ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เหมือนจับยัดมาให้มีหน้าที่สร้างสีสันและความตลกขบขันเท่านั้น ในขณะที่ตัวละครรองบางตัวก็น่าจะมีบทบาทมากกว่านี้ แต่ก็หายไปเลยเมื่อทำหน้าที่ประคองเส้นเรื่องให้เดินหน้าต่อไปได้จบลง แต่รวม ๆ แล้วข้อด้อยพวกนี้ไม่ได้ทำให้ความดีของหนังลดลงแต่อย่างใด

ติดให้ ****

              “CHUNGKING EXPRESS” คือภาพยนตร์ที่น่าจดจำที่สุดของ “หว่องกาไว” ที่ มงคลภาพยนตร์ภูมิใจนำเสนอ อาจเรียกได้ว่านี่คือหนังเรื่องแรกที่ส่งให้เขาโด่งดังในระดับโลกของจริง เนื่องจาก เควนติน ทาแรนติโน ผู้เป็นแฟนตัวยงของ หว่องกาไว ตอนถ่ายทำ Chungking Express หว่องกาไว ไม่เคยเดินทางไปเมือง จุงกิง มาก่อน เขาเพิ่งจะเคยไปหลังจากหนังฉายไปหลายปีแล้ว

ทาเคชิ คาเนชิโระ รับบท เจ้าหน้าที่ตำรวจหมายเลข 223 ได้โชว์ทักษะการพูดทั้งหมด 4 ภาษา ประกอบด้วยภาษาจีนแมนดาริน กวางตุ้ง ภาษาญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษ

เฟย์ หว่อง ไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน เพราะฉะนั้นการเข้าฉากใน Chungking Express จึงสร้างความประหม่าให้เธอไม่น้อย หว่องกาไว ต้องพยายามลดความเกร็งของเธอด้วยการเปิดเพลงพร้อมกับถ่ายหนังไปด้วย ทำให้การเคลื่อนไหวของเธอในหนังมีจังหวะจะโคน ดูสอดประสานไปกับดนตรีที่เปิดในเรื่องจริง ๆ  ซึ่งเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของเทศกาลหนัง Wong Kar-Wai ที่เรื่องราวของตำรวจฮ่องกง 2 นาย คือ นายตำรวจหมายเลข 223 ที่เลิกกับแฟนสาวที่คบมา 5 ปี แต่ยังมีความหวังว่าเธอจะกลับมา จึงเที่ยวไล่หาซื้อสับปะรดกระป๋องที่เป็นของชอบของเธอ โดยหาซื้อเฉพาะที่หมดอายุในวันที่ 1 พฤษภาคม เท่านั้น เผื่อว่าเมื่อถึงวันนั้น เธออาจจะกลับมาหรือไม่เขาก็อาจจะได้พบกับรักใหม่ ส่วนนายตำรวจอีกคนหนึ่งที่หนังพูดถึงคือ นายตำรวจหมายเลข 663 ที่ถูกแฟนสาวแอร์โฮสเตสทิ้งไป แล้วต้องมาปลอบใจตัวเองด้วยการพูดคุยกับสิ่งของในห้องพักของตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งมีผู้หญิงคนใหม่ก้าวเข้ามาในชีวิต

              โดยครึ่งแรกของหนังที่เล่าเรื่องของ 223 นี่มีความหว่องสูงมาก ไม่ว่าจะบรรยากาศที่เงียบเหงา บทพูดน้อย ๆ จัดแสงทึม ๆ แต่ครึ่งหลังที่เล่าเรื่องของ 663 โทนหนังจะเปลี่ยนไปดูมีความสดใส เบาสมอง เรื่องราวลื่นไหล ดูกันไปเพลิน ๆ และหนังฉีกขนบธรรมเนียมประเพณีหนังโรแมนติกที่ใช้ผู้หญิงมาใช้ผู้ชายเป็นตัวเดินเรื่อง ก็เลยทำให้ได้เห็นหนังรักที่ใช้ความรู้สึกนึกคิดของผู้ชายที่มีต่อความรักไปด้วยเลย หนังเปรียบเทียบความรักและความรู้สึกกับสิ่งที่มีวันหมดอายุได้อย่างชาญฉลาดคือเมื่อสิ่งของใดที่หมดอายุ เราก็แค่โยนมันทิ้งไป จะเอาไปให้ใครต่อก็คงไม่มีใครแยแส แต่หากวันหนึ่งความรักของเราหมดอายุลง ความรู้สึกที่เรามีต่อความรักนั้นมันได้หมดอายุไปพร้อมกับความรักที่จบลงใช่ไหม แต่เราสามารถเอาความรู้สึกที่ยังไม่หมดอายุไปต่ออายุกับใครอีกคนนึงได้ไหม

ติดให้ **** ครึ่ง

Related posts