เพราะความเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ และความเร่งด่วนของคนเราไม่เท่ากัน “ศูนย์ปฐมพยาบาล” อาจจะดูไม่มีความจำเป็นเท่าไร หากเราอยู่อาศัยในเขตเมืองหรือชุมชนใหญ่ แต่สำหรับบางพื้นที่ที่ห่างไกลออกไปอีกหลายแห่งทั่วประเทศ ศูนย์ปฐมพยาบาลของชุมชนคือที่พึ่งพาแห่งแรก เพราะอาการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตได้ จากความสำเร็จของศูนย์ปฐมพยาบาลชุมชน โรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2 (บ้านบ่อหวี) อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ทำให้ “มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยและมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย” เตรียมขยายอีก 3 จังหวัดในปีนี้ คืออุทัยธานี ระนอง และบุรีรัมย์
โดย นายเปลว ปุริสาร ผู้อำนวยการโรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง2 (บ้านบ่อหวี) เล่าถึงปัญหาความขาดแคลน ก่อนจะมีการสร้างศูนย์ปฐมพยาบาลฯ แห่งนี้ว่า
“ก่อนหน้านี้โรงเรียนมีห้องพยาบาลเพียง 1 เตียง อุปกรณ์การรักษาและยาก็มีไม่มาก ในขณะที่เรามีนักเรียนจำนวน 302 คน ที่เป็นทั้งชาวไทยและกลุ่มชนกะเหรี่ยงเผ่าโปว์ เมื่อเด็ก ๆ เกิดอุบัติเหตุหรือมีอาการเจ็บป่วยจึงไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง มีโรงพยาบาลใหญ่คือโรงพยาบาลสวนผึ้ง ซึ่งอยู่ห่างจากชุมชนไป-กลับกว่า 60 กิโลเมตร ผู้ปกครองไม่มีรถในการพาเด็ก ๆ ไปหาหมอ และเนื่องจากโรงเรียนตั้งอยู่ในป่า จึงพบปัญหาไข้เลือดออกสูง โดยในปี 2557 พบผู้ป่วยไข้เลือดออกสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศ นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบโรคมาลาเรีย และโรคชิคุนกุนยาด้วย
เมื่อปี 2562 ทางมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยและมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยได้เข้ามาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว พร้อมมอบศูนย์ปฐมพยาบาลชุมชน (Pfizer First-aid Center) ให้กับโรงเรียน จนถึงตอนนี้เป็นระยะเวลา 1 ปีกว่าแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าสุขภาพอนามัยของเด็กนักเรียนดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะช่วยเรื่องการดูแลรักษาได้ทันท่วงที แต่หากเด็กมีอาการหนักโรงเรียนจะรีบติดต่อไปที่ รพ.สต. ให้เข้ามาช่วยดูแล”
ด้าน นางสาวรุ่งลาวัลย์ ทองลิ่ม พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.สต.บ้านบ่อหวี เล่าเสริมว่า “ศูนย์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำให้การบริหารจัดการด้านสุขภาพนักเรียนของเจ้าหน้าที่พยาบาลจาก รพ.สต.สะดวกมากขึ้นเมื่อจะต้องลงพื้นที่ โดยเฉพาะในสถานการณ์ของโควิด-19 จากเดิมที่ต้องเดินตรวจตามห้องเรียนทำให้รบกวนเวลาเรียนของห้องใกล้เคียงก็สามารถตรวจสุขภาพนักเรียนได้ทีละห้องอย่างเป็นระเบียบในสถานที่ที่เหมาะสม นอกจากนี้ การมีศูนย์ฯ นั้นช่วยแบ่งเบาปริมาณคนไข้ของ รพ.สต.ได้มาก สำหรับคนไข้ที่ไม่ได้มีอาการหนัก อย่างโรคทางเดินหายใจหรือไข้หวัด การประสบอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย และโรคผิวหนังที่มักจะเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ คุณครูประจำศูนย์ปฐมพยาบาลจะสามารถช่วยดูแลได้ก่อน ซึ่งที่นี่มีเตียงคนไข้ 4 เตียง ยาสามัญประจำบ้าน และเครื่องมือปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาที่โรงพยาบาลที่ในแต่ละวันมีคนไข้จำนวนมาก”
การสร้างศูนย์ปฐมพยาบาลที่โรงเรียนแห่งนี้ ทำให้นักเรียนในโรงเรียนสามารถเข้าถึงปฐมพยาบาลได้อย่างทันท่วงทีดังที่ ด.ญ.พรทิพา โฉมยง หรือ น้องมายด์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เช่นเดียวกัน เล่าถึงการใช้ศูนย์ฯ ว่า “เมื่อก่อนมักจะได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ต้องมาที่ห้องพยาบาล โดยมีคุณครูทำแผลให้เบื้องต้น แต่จะพบปัญหายารักษาที่ไม่เพียงพอ รวมถึงเตียงนอนพักฟื้นที่มีไว้สำหรับคนที่มีอาการหนักมาก เพราะมีแค่เตียงเดียว ทำให้ต้องเดินทางกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน ซึ่งมีระยะทางไกลจากโรงเรียนมาก และไม่มีคนคอยดูแลที่บ้านเพราะผู้ปกครองออกไปทำงาน ต่างจากปัจจุบันนี้ที่มีศูนย์ปฐมพยาบาลขนาดใหญ่ พร้อมยารักษาและอุปกรณ์ที่เพียงพอ ทำให้สามารถรักษาตัวที่นี่ได้เลย”
ไม่เพียงแต่นักเรียนที่ได้รับประโยชน์เท่านั้น เพราะด้วยความที่โรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2 (บ้านบ่อหวี) ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทยพม่า ศูนย์ปฐมพยาบาลแห่งนี้จึงมีผู้ปกครองนักเรียนที่เป็นชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงมาใช้บริการยามเจ็บไข้ได้ป่วย ด.ญ.ลลิตา คำภาวะ หรือ น้องวี่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เล่าว่า “มาใช้ศูนย์ปฐมพยาบาลเวลามีอาการปวดหัว เป็นไข้ โดยได้ครูประจำห้องพยาบาลคอยดูแล เพียงพอต่อความต้องการมากขึ้น ไม่เพียงแค่เพื่อน ๆ ที่เป็นนักเรียนไทยเท่านั้น แต่เพื่อน ๆ ที่มีผู้ปกครองเป็นชาวไทยกะเหรี่ยงก็มักจะมาขอยาสามัญจากศูนย์ปฐมพยาบาลแห่งนี้ไปให้ครอบครัวเวลาเจ็บป่วย เพราะไม่สามารถไปใช้สิทธิ์การรักษาในโรงพยาบาลได้ นอกจากมีอาการหนักจริง ๆ จึงจะยอมไปโรงพยาบาล” การสร้างศูนย์ปฐมพยาบาล ณ พื้นที่แห่งนี้ ที่สามารถให้บริการแก่คนไทยในพื้นที่และชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่จำนวนมาก จึงมีคุณค่าต่อผู้ที่ขาดโอกาสเข้าถึงการดูแลสุขอนามัยโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ กับความสำเร็จของศูนย์ปฐมพยาบาลชุมชน โรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2 (บ้านบ่อหวี) อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี (Pfizer First-Aid Center) เกิดจากการวิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของคนในชุมชน และหยิบยื่นในสิ่งที่เกิดประโยชน์ได้จริง ทำให้ทางมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยและมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยเตรียมนำโมเดลนี้ขยายการจัดสร้างเพิ่มเติมในโรงเรียนที่ห่างไกล อีก 9 แห่งภายในระยะเวลา 3 ปี ได้แก่ ในจังหวัดอุทัยธานี, ระนอง, บุรีรัมย์, เชียงใหม่ (2 โรงเรียน), พังงา, เพชรบุรี, จันทบุรี และสตูล เพื่อเป็นศูนย์กลางการดูแลด้านสุขอนามัย เป็นศูนย์กลางการให้ความรู้ การอบรมและปฏิบัติจริง เพื่อให้นักเรียน บุคลากรในโรงเรียน รวมถึงคนในชุมชนสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพอย่างทั่วถึง ดังปณิธานตลอดระยะเวลา 20 ปีของมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยที่ต้องการให้คนไทยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น