นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้(28 ก.ค.)ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แสดงความพอใจที่สินค้าเกษตรมีส่วนช่วยเศรษฐกิจสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศในเดือนมิถุนายน 71,473.5 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวสูงถึง 59.8%
นับเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี และเป็นการขยายตัว 9 เดือนต่อเนื่องโดยผลไม้ครองแชมป์การส่งออกที่อัตราเติบโตสูงสุดถึง 185.10% โดยราชาแห่งผลไม้คือทุเรียนขยายตัว 172% และราชินีแห่งผลไม้คือมังคุดขยายตัว 488.26% เป็นการทำลายสถิติการส่งออกในอดีตที่ผ่านมา ตามมาด้วย การส่งออกยางพาราขยายตัว 111.9% มันสำปะหลังขยายตัว 81.5 %
สำหรับการส่งออกข้าวที่มีตัวเลขติดลบทั้งปริมาณและมูลค่านั้น รัฐมนตรีเกษตรฯ.ถือเป็นวาระเร่งด่วนในการแก้ปัญหาและได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ.เร่งปฏิรูปข้าวแบบครบวงจรเพื่อสร้างศักยภาพใหม่หวังที่จะทวงแชมป์กลับคืนมาโดยใช้”5ยุทธศาสตร์ปฏิรูปเกษตร4.0”เป็นหัวใจของการพัฒนาโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆมาสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่การผลิต การแปรรูปและการตลาดภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตโดยบูรณาการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกระทรวงพาณิชย์ สมาคมชาวนาและทุกภาคีภาคส่วน
นอกจากนี้ยังสั่งการให้คณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้(Fruit Board)ปรับแผนกลยุทธ์รับมือกับผลกระทบจากโควิด19
โดยเฉพาะลำไยภาคเหนือและผลไม้ภาคใต้ช่วงฤดูพีคสูงสุดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมซึ่งเริ่มเห็นผลกระทบจากมาตรการโควิด19รุนแรงมากขึ้นเช่นมังคุดในภาคใต้แม้ความต้องการของตลาดยังสูงอยู่แต่กลไกการค้าและการขนส่งเพื่อส่งออกติดขัดอย่างมากทำให้การนำมังคุดจากสวนไปสู่ตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดเกิดปัญหาตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมาและให้ฟรุ้ทบอร์ดออก7มาตรการเพิ่มเติมเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาโดยด่วน
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า
ระหว่างวันที่28-29กรกฎาคมนี้ นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้(ฟรุ้ทบอร์ด)และคณะได้ลงพื้นที่จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราชเพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหามังคุดราคาตกต่ำตามข้อสั่งการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์และดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำหรับตัวเลขการส่งออกเดือนมิถุนายน 2564 มีมูลค่า 23,699.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือ 738,135.34 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 43.82% ถือเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 11 ปี โดยมีสินค้าสำคัญที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด5อันดับแรกได้แก่ 1.ผลไม้ขยายตัว 185.10% 2.อัญมณีและเครื่อง ด้วยมูลค่า ประดับ ขยายตัว 90.48% 3.รถยนต์และอุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์ ขยายตัว 78.5% 4.เครื่องจักรกล ขยายตัว 73.13% และ5.เคมีภัณฑ์ขยายตัว 59.82% ประการสำคัญคือ ตลาดหลักและตลาดรองมีอัตราการขยายตัวทุกตลาดโดยตลาดหลักขยายตัว 41.2% ประกอบด้วยจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป CLMV อาเซียน เป็นต้น ส่วนตลาดรองขยายตัว 49.5% ได้แก่ เอเชียใต้ อินเดีย ศรีลังกา บังกลาเทศ ตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาติน ออสเตรเลีย เป็นต้น