“เดวิด ลาวรี” ถือเป็นผู้กำกับที่น่าจับตามองคนหนึ่งของฮอลลีวูดในปัจจุบัน ทุกผลงานของเขาถือเป็นผลงานคุณภาพและมีอัตลักษณ์ที่ชัดเจน ไม่ว่าจะผลงานแจ้งเกิด Ain’t them bodies saints ต่อไปด้วยผลงานที่เขาร่วมงานกับดิสนีย์อย่าง Pete’s Dragon และงานที่เป็นพูดถึงไปทั่ววงการอย่าง A ghost Story
และเขากลับมาอีกครั้งกับผลงานล่าสุด “The Green Knight” เดอะ กรีนไนท์ ศึกโค่นอัศวินอมตะ ภาพยนตร์แฟนตาซีมหากาพย์สุดดิบ ถ่ายทอดตำนานอัศวินโต๊ะกลมในเวอร์ชั่นที่ถูกนำมาตีความใหม่ พร้อมขนทีมนักแสดงอย่าง เดฟ พาเทล (The Slumdog Millionaire,Lion) สมทบด้วยนักแสดงรางวัลออสการ์ อลิเซีย วิกันเดอร์ (The Danish Girl,Tomb Raider, โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน (The King, The Great Gatsby), ซาริตา ชาวด์ฮิวรี่ (Modern Love) และ ฌอน แฮร์ริส (Mission: Impossible-Fallout)
The Green Knight เล่าถึงเรื่องราวของ เซอร์กาเวน (แสดงโดย เดฟ พาเทล จากThe Slumdog Millionaire,Lion) หลานชายของคิงอาเธอร์ผู้บ้าบิ่นและเอาแต่ใจ เขาได้ออกไปทำภารกิจ เผชิญหน้ากับอัศวินมรกตซึ่งเป็นบททดสอบสำคัญของเหล่าอัศวิน กาเวนเดินทางฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ โดยที่เขาต้องรับมือกับวิญญาณอาฆาต, ยักษ์ และโจร เพื่อค้นหาตัวตนและพิสูจน์คุณค่าของเขาต่อครอบครัวและอาณาจักร การเดิมพันเพื่อก้าวข้ามศึกสำคัญครั้งนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อทุกอย่างตกอยู่ในอันตราย ไม่เว้นแม้แต่ชีวิตเขาเอง ซึ่ง ลาวรี ได้บอกเล่าถึงผลงานเรื่องใหม่ของเขาว่า
ตำนานอัศวินโต๊ะกลมมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเซอร์แลนสล็อต ราชินีกวินิเวียร์ หรือกระทั่งพ่อมดเมอร์ลิน ทำไมคุณถึงต้องการนำเสนอเรื่องราวของเซอร์กาเวนโดยเฉพาะ?
เหตุผลแรกผมเป็นแฟน The Lord of the Rings ซึ่งผู้เขียน เจ.อาร์.อาร์ โทลเคียน เป็นผู้แปล Sir Gawain and the Green Knight และมันถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เพียงแค่สองครั้งเท่านั้นเหตุผลอีกข้อคือ ในตอนแรกผมพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมบทกวีชิ้นนี้ถึงไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลา จนผมได้ทำหนังเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนผมรู้ทันทีว่ามันไม่ใช่งานง่าย ผลงานดั้งเดิมมันเต็มไปด้วยสัญญะ เปิดช่องให้ตีความได้มากมาย คุณอาจจะดัดแปลงมันเป็นสิบ ๆ ครั้ง แต่ยังดึงเอาหัวใจของผลงานชิ้นนี้ออกมาไม่ได้ มันเขียนขึ้นในศตวรรษที่ 14 แต่มันยังคงความโมเดิร์นอยู่เลย งานชิ้นนี้ถือว่าร่วมสมัยเลยนะ ถ้าไม่นับว่ามันจะถูกเขียนขึ้นมานานเกือบพันปีแล้ว! การดัดแปลงครั้งนี้เราเคารพต้นฉบับแต่ยังมีการตีความมันในรูปแบบใหม่ ให้ทั้งโลกได้เห็นคุณค่าของบทกวีชิ้นนี้
แล้วหนุ่มเท็กซัสอย่างคุณได้โคจรมาพบกับบทกวีที่แต่งโดยนักเขียนไร้นามชาวบริติชได้อย่างไร?
ผมได้อ่านบทกวีชิ้นนี้ในคลาสวิชาภาษาอังกฤษเมื่อตอนเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง มันมีอิทธิพลต่อผมมาก ผมชอบที่มันว่าด้วยการที่ชายคนหนึ่งต้องแบกเดิมพันด้วยชีวิต เขาต้องเอาตัวเองที่พัวพันกับเกมที่อาจต้องแลกมาด้วยความตายของเขาเอง
จริง ๆ ผมมีแผนดัดแปลงบทกวีเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์มาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ผมคงต้องสร้างชื่อให้ตัวเองก่อน จนเเดือนมีนาคม 2018 ผมกำลังเขียนบทหนังเรื่องใหม่ให้ดิสนีย์ ผมเจอกรุของเล่นจากภาพยนตร์เรื่อง Willow (1988) โดย รอน ฮาเวิร์ด มันเป็นของเล่นโปรดสมัยที่ผมยังเด็ก มันทำให้ผมนึกถึง Sir Gawain and the Green Knight อีกครั้ง ผมคิดกับตัวเองว่า “นี่ได้เวลาแล้วล่ะ” ผมนั่งอ่านมันใหม่และเริ่มปรับมันเป็นบทภาพยนตร์ไปพร้อมกัน ใช้เวลาสามสัปดาห์มันถึงเป็นบทที่สมบูรณ์
มองเผิน ๆ The Green Knight อาจดูเหมือนหนังแฟนตาซีพีเรียดทั่วไป อะไรคือเอกลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ ?
หัวใจของ Sir Gawain and the Green Knight คือปริศนาที่สามารถตีความได้หลากหลายผลงานชิ้นนี้สะท้อนทุกซอกทุกมุมของยุคกลาง มันมีสิ่งที่จับต้องได้อย่างทั้งชุดเกราะและม้าอัศวิน แต่มีความเหนือจริงดุจความฝันด้วย บทกวีถ่ายทอดความขัดแย้งระหว่างคริสตจักรและพวกนอกรีตผ่านสัญญะอย่างคมคาย ตัวอัศวินมรกตผู้น่าเกรงขามที่มาเยือนคาเมล็อต ในช่วงคริสมาสต์เพื่อชวนเล่นเกมที่เดิมพันด้วยชีวิต อัศวินมรกตขออาสาสมัครให้ตัดหัวของตนเองด้วยขวาน โดยอาสาสมัครต้องเดินทางไปยังวิหารมรกตในอีกหนึ่งปีให้หลังเพื่อโดนอัศวินมรกตลงขวานเช่นเดียวกัน
มันมีทั้งความเป็น Coming of Age เมื่ออัศวินหนุ่ม เซอร์กาเวน ที่เป็นหนึ่งในอัศวินโต๊ะกลม ขออาสาเล่นเกมนี้และรอเวลาหนึ่งปีให้หลังเพื่อเดินทางที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล คริสมาสต์ปีถัดมาเขาต้องเดินทางผ่านภูมิประเทศสุดทรหด ได้พบเจอกับสิ่งมีชีวิตที่เขาเคยได้ยินแต่ในนิทาน บ้างเป็นภูติผี บ้างจำแลงกาย การเดินทางครั้งนี้ทำให้เขารู้จักตัวเอง คอนเซปต์ของความกล้าหาญที่เล่าผ่านการเติบโตของชายคนหนึ่งคือ รากฐานที่ผมใช้ทำงานเรื่องนี้ แม้มันไม่ได้ระบุชัดในผลงานต้นฉบับ แต่ประเด็นนี้มันไม่มีวันตกยุค
ทำไมคุณถึงเลือก เดฟ พาเทล มารับบท เซอร์กาเวน?
ทำไมจะไม่ล่ะ? ผลงานที่ผ่านมาของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์อยู่แล้ว เดฟเป็นนักแสดงที่มักจะรับบทเป็นตัวละครสดใส มองโลกในแง่ดี แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ บทร่างแรก ๆ ของผม ตัวกาเวนเป็นตัวละครที่นำเข้าด้านมืดไปแล้วเต็มตัว แต่เดฟต้องการให้ตัวละครของเขามีด้านสว่างอยู่บ้าง เพื่อให้เขาได้ใช้ฝีมือการแสดงของเขาออกมาได้เต็มที่ เดฟให้คำแนะนำเรื่องบทกับผม มันเป็นประโยชน์มาก ผมปรับตามที่เขาบอกเลย
ได้ข่าวว่าการถ่ายทำทรหดไม่แพ้การเดินทางของเซอร์กาเวนเลย
ใช่ ผมเริ่มเดินทางไปดูสถานที่ถ่ายทำ ช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2018 สองเดือนหลังเขียนบทเสร็จ ผมและทีมสร้างเดินทางไปดูโลเกชันในไอร์แลนด์ เราเลือกถ่ายทำในเขตทุรกันดาร เคาท์ตี้ วิกโลว์ ห่างจากตัวเมืองดับลินไป 30 นาที มันเคยใช่ถ่ายทำ Barry Lyndon และ Excalibur มาแล้วด้วยนะ ตามต้นฉบับเรื่องเกิดขึ้นในเวลส์ ตัวเรื่องมันอิงกับภูมิประเทศของเวลส์ แต่เราเลือกไอร์แลนด์ มันมีทุกอย่างที่เราต้องการ ทั้งทิวทัศน์, สภาพอากาศ, ปราสาทโบราณ ทุกอย่างที่คุณเห็นในหนังมันอยู่ห่างจากตัวเมืองดับลินแค่ 30 นาที
ผมชอบทำงานในอากาศเย็น เพราะมันเก็บประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับศตวรรษที่ 14 ทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยสีเทาซีด (สีของปราสาทคาเฮียร์) ผมเสียดายอย่างเดียวที่เราไม่ได้เปิดกล้องเร็วกว่านี้ เพราะฤดูใบไม้ผลิไล่จี้เรามาติด ๆ คุณเริ่มเห็นหญ้ากับใบไม้เริ่มผลิในหลาย ๆ ฉากของหนัง แต่พวกเราต้องเจออุปสรรคจากสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ของไอร์แลนด์ ผมเคยได้ยินมาว่า “คุณสามารถเจอทั้ง 4 ฤดูได้ภายในหนึ่งชั่วโมงที่ไอร์แลนด์” ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง เราถ่ายกันอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ฝนก็ถล่ม ซักพักนึงเปลี่ยนเป็นหิมะ อีกห้านาทีต่อมาฟ้าใสมีสายรุ้งเฉยเลย
พบกับ “The Green Knight” ศึกโค่นอัศวินอมตะ 11 พฤศจิกายนนี้ในโรงภาพยนตร์