หนังดีติดดาว***
มงคลภาพยนตร์ ส่ง 3 นักแสดงนำสุดน่ารัก มาริกะ อิโต – ยูมิ คาวาอิ – คิราระ อิโนริ ประชันความน่ารักใน “IT’S a Summer Film! (เกือบจะไม่ได้)” หนังญี่ปุ่นที่ว่าด้วยวัยรุ่นวัยเรียนกลุ่มหนึ่งที่รักในการทำหนังและรวมตัวกันเพื่อสร้างหนังซามูไรขึ้นมาฉายในงานโรงเรียนก่อนจะปิดเทอมฤดูร้อน โดยมีคู่แข่งเป็นอีกทีมหนึ่งที่กำลังสร้างหนังรักโรแมนติก ทำให้งานโรงเรียนปีนี้เลยเป็นการประชันกันระหว่างหนังซามูไรและหนังโรแมนติก
หนังมีความน่ารักแบบหนัง Coming of Age ที่พูดถึงเด็กที่อยู่ในช่วงเวลาที่ต้องค้นหาตัวเองให้เจอ โดยเดินเรื่องผ่านตัวละครกลุ่มหนึ่งที่ทุกตัวมีเสน่ห์และมีความน่าจดจำ แล้วด้วยความที่ตัวละครเป็นเด็ก อะไรต่อมิอะไรมันก็เลยดูไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่นัก แต่ในความทีเล่นทีจริงทั้งหมดนั้นกลับมีประเด็นสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน มันคือการจำลองวิธีการ ทีมงาน นักแสดง เบื้องหลัง ผู้กำกับ คนเขียนบท คนจัดแสง คนบันทึกเสียง ฯลฯ ให้เห็นกันไปเลยว่าเขาสร้างหนังกันยังไง
โดยหนังมี plot twist ที่ไม่เข้าท่าเข้าทางกับเรื่องที่ดำเนินอยู่เลย ถึงแม้มันจะใส่ปมไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องให้เรางงกับพฤติกรรมของตัวละครบางตัวก็ตามที แต่สิ่งที่ใส่เข้ามาคือมันมาเฉลยตรงนี้ แล้วที่แย่กว่านั้นก็คือ สิ่งนี้กลับกลายมาเป็นธีมหลักของเรื่อง ซึ่งปัญหาก็คือไม่มีการปูพื้นฐานและให้ข้อมูลอย่างเพียงพอและไม่อธิบายถึงที่มาและที่ไปอย่างชัดเจน เลยกลายเป็นส่วนเกินที่ทำให้อารมณ์ของหนังออกไปในทาง Coming of Age แบบน่ารัก ๆ แต่มีความเป็นไซไฟที่หาคำอธิบายไม่ได้แทรกเข้ามาด้วยนะ
ติดให้ **
“The Desperate Hour ฝ่าวิกฤต วิ่งหนีตาย” ผลงานจาก “ฟิลลิป นอยซ์” ผู้กำกับที่เคยฝากผลงานอย่าง Salt เอาไว้ ซึ่ง “นาโอมิ วัตส์” รับบทเป็น เอมี่ หญิงสาวที่ต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้ลูกของเธอปลอดภัยจากเหตุการณ์กราดยิง แม้ว่าทางรอดเดียวของเธอคือ วิ่ง แม้ระยะทางกว่าสิบไมล์ และเวลาที่จำกัดแต่เธอก็ พร้อมเผชิญหน้าชั่วโมงสุดวิกฤต เพื่อให้ลูกเธอรอด
ชอบวิธีการเดินเรื่อง นอกจากช่วงต้นที่หนังแนะนำตัวละคร โดยเลือก เอมี่เพียงคนเดียวในการผลักเส้นเรื่องให้เดินหน้าไปเรื่อย ๆ แต่ตัวละครตัวอื่นจะโผล่มาด้วยเสียงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเด็กคนอื่น ผู้ปกครองท่านอื่น ตลอดจนพนักงานร้านคาร์แคร์ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ศูนย์ 911 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราต้องคอยจินตนาการเอาเองว่าใครอยู่ตรงไหน ทำอะไรอยู่ อีกทั้งสถานการณ์วิกฤตที่โรงเรียนก็ไม่มีให้เห็นเลยต้องลุ้นไปกับความพยายามของแม่ที่ทำทุกอย่างเพื่อช่วยลูกด้วยโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว
ซึ่งหนังทำให้เห็นว่ามือถือถ้ารู้จักมันอย่างแท้จริงและใช้งานมันเป็น มันเป็นอุปกรณ์ที่โคตรมีประโยชน์เลย เทคโนโลยีที่ใส่เข้ามาในโทรศัพท์มือถือที่เดี๋ยวนี้มีเหมือนกันแทบจะทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็น AI อย่าง Siri หรือ Google Assistant ไปจน Maps ต่าง ๆ สามารถใช้ทุกอย่างร่วมกันเพื่อกู้สถานการณ์วิกฤตได้จริง ๆ แต่ก็มีอย่างนึงที่รู้สึกว่าไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่ คือ ในสถานการณ์วิกฤตนี้ทำไมโทรไปที่ไหนมันติดง่ายจังอ่ะ ประเทศไทยนี่แค่โทรไปหาเตียงจะนอนช่วงวิกฤตโควิดระบาดยังรอสายกันข้ามวันข้ามคืนเลย
ติดให้ *** ครึ่ง
บริษัทภาพยนตร์ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ส่งฮีโร่ใต้หน้ากากปกป้องเมือง “THE BATMAN” รับบทโดย โรเบิร์ต แพตทินสัน ร่วมด้วย เจฟฟรีย์ ไรท์ รับบทเป็น เจมส์ กอร์ดอน, แอนดี เซอร์คิส ในบท อัลเฟรด, คอลิน ฟาร์เรลล์ กับบทไม่คาดคิด มนุษย์เพนกวิน, จอห์น เทอร์ทูร์โร รับบทเป็น คาร์มิน ฟัลโคนี และ พอล ดาโน รับบท เดอะริดเลอร์ วายร้ายผู้โหดเหี้ยมรายนี้ได้อย่างน่าสะพรึงกลัว ผลงานกำกับของ “แมตต์ รีฟส์” “The Batman”
The Batman ฉบับ แมตต์ รีฟส์ เป็นอะไรที่เพลินมากในเวลา 2 ชั่วโมง 55 นาที ที่ตรึงให้นั่งติดเก้าอี้โดยไม่คิดจะลุกไปห้องน้ำ นี่คือ Batman / บรูซ เวย์น ในอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการตีความตัวละครตัวนี้ให้ออกมาทั้งแปลกตาและคุ้นเคยไปพร้อม ๆ กัน ตัวร้ายมีเสน่ห์ทุกตัว แต่บทบาทอาจจะไม่ทั่วถึงเท่าไหร่ โดยส่วนตัวคาดหวังว่าอยากเห็นตัวหนึ่งที่น่าจะมีบทบาทเยอะ แต่ปรากฏว่าภารกิจนี้ไปตกอยู่กับอีกตัวละครที่ไม่คาดคิด ชอบการผูกทุกอย่างให้เชื่อมโยงกัน ถือเป็นหนัง slow burn ที่ต้องอดทนกับการปูเรื่องในช่วงแรกแต่พอเครื่องติดแล้วไปต่อกันยาว ๆ เป็น Batman ที่ผสมผสานความเป็นหนัง Action, Thriller และ Suspense ได้อย่างลงตัว ใครชอบหนังแนวสืบสวนที่ค่อย ๆ ปะติดปะต่อจิ๊กซอว์ข้อมูลแต่ละชิ้นเรื่องนี้โคตรฟินเลย จะมีแอ็กชันมันส์ ๆ ที่ตัดสลับเข้ามาให้ตื่นเต้นเป็นระยะ มีฉากแบบนี้ช่วงกลางเรื่องที่เผลอจิกเท้าโดยไม่รู้ตัวด้วยความมันส์สะใจ
ต่อให้ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวละครนี้ หรือไม่เคยอ่านการ์ตูนและไม่เคยดูหนังเวอร์ชันอื่นมาก่อนก็สามารถสนุกไปได้สบาย ๆ
ติดให้ **** ครึ่ง
คำถามภาพยนตร์เรื่อง “The Batman” ใครรับบท Batman และ บรูซ เวย์น?
ทราบคำตอบเขียนใส่ไปรษณียบัตร พร้อมชื่อ- ที่อยู่ – เบอร์โทรศัพท์และคำตอบให้ชัดเจน ส่งมาที่
#หนังดีติดดาว
32/15 ซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ขอบคุณวอร์เนอร์ บราเดอร์ ที่สนับสนุนของรางวัลเล่นเกมทายปัญหา
“เลียม นีสัน” ครั้งนี้เขากลับมาทวงบัลลังก์บู๊แม้วัยจะเปลี่ยน แต่ความเก๋าของเฮียไม่เปลี่ยนตาม ใน “Blacklight” จัดโดย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง มาร์ค วิลเลียมส์ (The Accountant), พอล เคอร์รี (Hacksaw Ridge), เครก แชปแมน (Wheelman) ยกหน้าที่กำกับให้ มาร์ค วิลเลียมส์ (A Family Man, Honest Thief) ที่การันตีแอ็กชันกระตุ้นอะดรีนาลีนเดือด ทั้งดวลกระสุน ซึ่งเขียนบทโดย นิค เมย์ และ มาร์ค วิลเลียมส์ (A Family Man) ที่ได้นักแสดงร่วมอย่าง ไอเดน ควินน์, เรเวอร์ แลมป์แมน
หนังเดินเรื่องช้าใช้เวลาปูพื้นฐานตัวละครอยู่นานพอสมควร คือมันก็หนังแอ็กชันแหล่ะ แต่ slow burn ด้วยบทสนทนาและสถานการณ์จนรู้สึกอึดอัด ยังดีที่มีตัดสลับฉากบู๊มาให้ดูบ้าง บทมีความพยายามในการดึงดราม่าให้คนเห็นใจกับความผิดพลาดในอดีตและการตกกะไดพลอยโจนในสถานการณ์ของตัวละครเอก ประเด็นคือมันเป็นเรื่องราวของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นเรื่องของการลุกขึ้นมายืนหยัดต่อความไม่ถูกต้อง ถ้าไม่ลุกขึ้นมาต่อต้านคนเลวก็ลอยนวล เรื่องมันก็มีอยู่เท่านี้แหล่ะ
หนังอาจจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ ยิ่งการที่มีนักแสดงนำที่เห็นหน้าแล้วก็เดาทางได้ มันก็เป็นการตอกย้ำความ cliché ของตัวหนังเข้าไปอีก แต่มันก็ดูได้ ดูเพลิน ๆ อยู่ในระดับนึง ถ้าไม่คาดหวังอะไรกับมันมากนัก
ติดให้ * ครึ่ง
ไฟว์สตาร์ส่งหนังฟอร์มยักษ์ที่เปิดตัวขึ้นอันดับหนึ่ง 1 แห่งปีของไต้หวัน ผลงานการกำกับภาพยนตร์โดย Giddens Ko(กิดเดนส์ โก) เรื่อง “Till We Meet Again…ภารกิจรักด้ายแดง” ที่นำแสดงโดย Vivian Sung(วิเวียน ซง) รับบท เสียวหมี่(มี่หง), Kai Ko(ไค เคอ) รับบท อลัน, Gingle Wang(จิงเกิ้ล หวัง) รับบท พิ้งกี้ กามเทพสาวแสนซนคู่หู ทั้งสองต้องมาช่วยกันทำภารกิจผูกด้ายแดงให้คู่รักให้สำเร็จเพื่อจะได้ไปเกิดแล้วพิงกี้ยังต้องช่วยอลันตามหาความทรงจำที่หายไปกลับคืนมา แต่ด้วยความใกล้ชิดทำให้เธอหลงรักอลันเข้าเต็มเปา
การหยิบเอาประเด็นหลังความตายมาเป็นโจทย์แล้วมีกามเทพมาทำภารกิจก็ไม่ได้เป็นพล็อตใหม่เท่าไหร่ นักแสดงถ่ายทอดออกมาดีและเหมาะกับบททุกคน ถือเป็นหนังดูเพลินตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าเรื่องราวพอดู ๆ ไปจะค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้างบางฉาก แต่ด้วยความที่เป็นหนังรักแฟนตาซี…อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ และเรื่องราวก็ถ่ายทอดออกมาครบรส
ทว่าปัญหาของหนังก็มี เพราะพยายามหยิบประเด็นนั้น ประเด็นนี้มายำพาให้แกนหลักของเรื่องความรักกับภารกิจจับคู่ที่ควรจะมีเสน่ห์ ตราตรึงใจและซาบซึ้งกลับไปไม่สุดทางหรือควรเชื่อ ทั้งที่โปรยว่าเป็นหนังรัก ขณะเดียวกันเรื่องของบาปบุญคุณโทษและการเมืองแห่งยมโลกก็ยังไม่แข็งแรงทำให้เราเชื่อได้เลย
ติดให้ ***
คำถามภาพยนตร์เรื่อง “Till We Meet Again…ภารกิจรักด้ายแดง” ใครรับบทกามเทพบ้าง?
ทราบคำตอบเขียนใส่ไปรษณียบัตร พร้อมชื่อ- ที่อยู่ – เบอร์โทรศัพท์และคำตอบให้ชัดเจน ส่งมาที่
#หนังดีติดดาว
32/15 ซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ขอบคุณ ไฟว์สตาร์ ที่สนับสนุนของรางวัลเล่นเกมทายปัญหา
“MOONFALL วันวิบัติจันทร์ถล่มโลก” ภาพยนตร์แอ็กชัน-ไซไฟเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ “โรแลนด์ เอมเมอร์ริช” เจ้าพ่อหนังมหากาพย์ล้างโลกฟอร์มยักษ์ (ID4, 2012) โดยคว้านักแสดงมากฝีมือมาประชันบทบาทกันอาทิ ฮัลลี เบอร์รี, แพทริก วิลสัน, จอห์น แบรดลีย์ กับเรื่องราวของทีมมนุษย์อวกาศที่ร่วมมือกันกู้วิกฤตหลังเหตุการณ์ที่ดวงจันทร์โดนดาวเคราะห์น้อยชน จนวิถีโคจรพุ่งตรงมาที่โลก พร้อมทำลายล้างมนุษย์ เมื่อเวลาของมนุษยชาติกำลังหมดลง เหล่าคนกล้า โจ ฟาวเลอร์ (ฮัลลี เบอร์รี) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ NASA อดีตมนุษย์อวกาศ จึงร่วมมือกับ ไบรอัน ฮาเปอร์ (แพทริก วิลสัน) เพื่อนร่วมงานที่เคยขัดแย้งกันจากงานเก่า และ เค.ซี. เฮาส์แมน (จอห์น แบรดลีย์) นักทฤษฎีสมคบคิด พากันเดินทางออกสู่อวกาศเพื่อกอบกู้โลกและเพื่อชีวิตของครอบครัวที่พวกเขารักโดยมีชีวิตของพวกเขาเองเป็นสิ่งเดิมพัน
หนังมีความเป็น โรแลนด์ เอมเมอร์ริช อย่างเข้มข้น โดยถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกเป็นเรื่องราวของกลุ่มคนที่เป็นตัวแทนของมนุษยชาติในการกอบกู้สถานการณ์ และอีกกลุ่มเป็นบุคคลใกล้ชิดของคนในกลุ่มแรกที่ดิ้นรนเอาตัวรอด หนังตัดสลับการเล่าเรื่องระหว่าง 2 กลุ่มนี้
และหนังเปิดเรื่องและผูกปมว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วค่อย ๆ ใส่ข้อมูลก่อนหันไปโฟกัสตัวละครหลักและตัวละครรองด้วยการใส่ความเป็นมนุษย์ให้ดูมีมิติมากขึ้น แต่ด้วยเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกับตัวละครเยอะเลยไม่สามารถทำให้ได้ครบทุกคน แต่ความพินาศหายนะในแบบฉบับของ โรแลนด์ เอมเมอร์ริช ยังมีอย่างครบถ้วน ใครชอบดูบ้านเมืองพังพินาศจากพลังธรรมชาติ รับรองว่ามีให้ดูจุใจ เลยแต่ CG จะดูลอย ๆ และไม่เนียนบ้างในหลายฉากนะ กระนั้นหนังให้ภาพรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทางตรงกันข้ามกับเรื่องอื่น ๆ ที่ผู้กำกับเคยทำ เออ ตรงนี้ทำให้ประหลาดใจอยู่ เพราะทุกทีหนังแทบทุกเรื่องรัฐบาลสหรัฐอเมริกามักจะออกมาในฐานะผู้นำและผู้กู้วิกฤตการณ์นำพาโลกให้รอดปลอดภัย แต่เรื่องนี้กลายเป็นตัวตลกที่ไร้ประโยชน์ซะงั้น ถือเป็นหนังที่ดูสนุกและสะใจในความบรรลัยของโลกผ่าน CG แต่คนที่เป็นนักเลงหนังอาจจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อหนังเฉลยความลับออกมา
ติดให้ * ครึ่ง
คำถามภาพยนตร์เรื่อง “MOONFALL” ใครกำกับเรื่องนี้?
ทราบคำตอบเขียนใส่ไปรษณียบัตร พร้อมชื่อ- ที่อยู่ – เบอร์โทรศัพท์และคำตอบให้ชัดเจน ส่งมาที่
#หนังดีติดดาว
32/15 ซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ขอบคุณ มงคลเมเจอร์ ที่สนับสนุนของรางวัลเล่นเกมทายปัญหา
มงคลเมเจอร์เอาใจคอหนังสยองขวัญ ส่ง “Amulet” หนังสยองขวัญที่ได้รับเลือกให้ฉายเปิดในSundance Film Festival กับเรื่องราวของ โทมาส (Alec Secareanu) ทหารผ่านศึกที่กลายมาเป็นคนไร้บ้าน เขาได้รับการช่วยเหลือจากแม่ชีลึกลับคนหนึ่งให้มาพักอาศัยภายในบ้านของ แม็กดา (Carla Juri) หญิงสาวที่ต้องดูแลแม่ที่กำลังป่วยเพียงลำพัง เธอจึงอนุญาตให้โทมาสเข้ามาอาศัยด้วยเพื่อหวังให้เขามาช่วยเธอดูแลแม่ แต่หลังจากที่โทมาสได้เข้ามาอาศัยร่วมกับแม็กดาได้ไม่นาน เขาก็เริ่มพบเจอเหตุการณ์ประหลาดภายในห้องพักของแม่แม็กดา และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวสุดสยองที่แม้ว่าจะพยายามสวดมนต์หรือใช้เครื่องรางของขลังก็ไม่อาจหยุดยั้งความหลอนในครั้งนี้ได้ ผลงานกำกับและเขียนบทของ โรโมล่า กาไร นำแสดงโดย อิเมลด้า สทอนตัน, อเล็ก เซคาเรียนู, คาร์ล่า จูรี่
อันดับแรกเลยชอบความทะเยอทะยานในการผูกเรื่องมาก ๆ แต่เพราะ โรโมล่า กาไร นักแสดงสาวที่หันมาเขียนบทและกำกับเองเป็นครั้งแรกเลยมีอะไรขาด ๆ เกิน ๆ และสะดุดอยู่พอสมควร แม้จะใช้ตัวละครน้อยแต่ต่อยหนัก เพราะทุกตัวละครที่ออกมาล้วนมีบทบาทสำคัญต่อเรื่องทั้งนั้น ฉะนั้นต้องคอยเก็บข้อมูลให้ดี ทุกคำพูด ทุกการกระทำ เก็บให้ครบ และต้องใจเย็นในการดูเพราะเส้นเรื่องขยับช้ามากถึงมากที่สุด หนังไม่มี CG อลังการแถมโปรดักชันก็ดูทุนต่ำด้วยสิ อีกทั้งยังขับเคลื่อนด้วยบทสนทนาและการกระทำของตัวละครที่ล้วนแล้วดูมีเบื้องหลังและไม่น่าไว้วางใจ
หนังจะตัดสลับเหตุการณ์ในอดีตที่ โทมาส ประสบมาในสมัยเป็นทหารกับเรื่องราวในปัจจุบันที่กลายเป็นคนเร่ร่อน จากนั้นเรื่องราวของ แม็กดา จะค่อย ๆ เผยเรื่องราวของแม่ออกมาทีละนิดเพื่อเติมเรื่องราวในช่องว่างไปเรื่อย ๆ หนังเททุกปมและทุกประเด็นที่ผูกและโยนใส่หัวคนดูในช่วงท้าย ถ้าใครเก็บข้อมูลครบรับรองว่าสนุกใช้ได้ แม้บทหนังจะอืดอาดจนน่ารำคาญ แต่มันมาคุ้มค่าเอาช่วง 10-15 นาทีสุดท้ายของเรื่อง
ติดให้ ** ครึ่ง
Warner Bros. ส่งมอบความรักของพ่อแด่ลูกทั้งสองใน “KING RICHARD” สร้างจากเรื่องจริงที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเรา เดินเรื่องโดย ริชาร์ด วิลเลียมส์ (วิลล์ สมิธ) พ่อผู้ไม่ย่อท้อต่อการเลี้ยงดูสองนักกีฬาที่ได้กลายเป็นผู้เปลี่ยนแปลงวงการกีฬาเทนนิสตลอดกาล ทั้งคู่ได้แรงผลักดันจากพ่อผู้เห็นภาพอนาคตของพวกเขาอย่างชัดเจน และเลือกใช้วิธีที่ต่างจากแบบแผนทางสังคม ริชาร์ด วางแผนว่าจะพา วีนัส (ซานิย์ยา ซิดนีย์) และ เซเรน่า วิลเลียมส์ (เดมี่ ซินเกลตัน) ออกจากคอมป์ตัน รัฐแคลิฟอร์เนียสู่การเป็นผู้มีชื่อเสียงแห่งตำนานระดับโลก
ส่วนตัวชอบวิลล์ สมิธอยู่แล้วแทบจะดูเขาเล่นทุกเรื่อง ตัวเขาก็พยายามฉีกแนวเล่นทุกบท บาท พอมาเล่นเป็นพ่อก็ไม่ยากเพราะชีวิตจริงก็เป็นพ่อ ทำให้ถ่ายทอดความเป็นพ่อออกมาได้ดี พ่อที่ฝึกปรือลูกสาวทั้งสองเพื่อก้าวขึ้นเป็นนักเทนนิส เชื่อว่าพ่อทุกคนก็มีความหวังแม้เวลาส่วนนึงเขาต้องเป็นโค้ช ซึ่งวิลล์ สมิธก็ทำได้ดี และอีกส่วนนึงต้องเป็นพ่อเขาก็ไม่ได้ทำให้ลูกสาวทั้งสองรู้สึกกดดันแต่อย่างใด
แม้เป็นหนังชีวประวัติแต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อ หรือง่วง แน่นอนวิลล์ สมิธถ่ายทอดออกมาดีทีเดียวดีจนคว้ารางวัลกับบทนี้ ภาพที่ออกมานึกว่าเขาเป็นพ่อของนักแสดงทั้งสองจริง ๆ ตลอดทั้งเรื่องได้เห็นความพยายามจะผลักดันลูก ๆ กับความสามารถที่เขามี ซึ่งลูกสาวทั้งสองก็เล่นได้เข้าขาและรับจึงแสดงออกมาอย่างตั้งใจ มุมานะขณะฝึกฝน ดูแล้วอมยิ้มฉากของครอบครัวนี้ อย่าเบ้หน้าพอโปรยว่าเป็นหนังชีวประวัติ คุณจะเห็นความรัก ความผูกพันธ์ของพ่อลูกที่เราเองยังไม่เคยเห็นมาก่อน และได้เห็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อที่ส่งลูกสาวทั้งสองก้าวขึ้นสู่แชมป์เทนนิสได้สำเร็จ
ติดให้ ****