เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 ณ โรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพฯ รัชดา อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม นายชาย นครชัย เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการในหลักสูตร “การเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการและทายาทสินค้าวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมในสินค้าไทยให้เกิดความยั่งยืน” โดยร่วมกับ บริษัท โกโกอา จำกัด นำโดยรองศาสตราจารย์ วรรณรัตน์ ตั้งเจริญที่ปรึกษาบริษัท โกโกอา จำกัด, มหาวิทยาลัยศรีปทุม นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิรัช เลิศไพฑูรย์พันธ์ รองอธิการบดี และคณบดีคณะสหวิทยาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยศรีปทุม และองค์การสะพานปลา สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำโดยนายปรีดา ยังสุขสถาพร ผู้อำนวยการองค์การสะพานปลา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดตัวหลักสูตรการเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการสินค้าวัฒนธรรม และพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมในสินค้าไทยให้เกิดความยั่งยืน (Culture Family Business Entrepreneur Program) ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ มีผู้ประกอบการ และเผยแพร่ให้ผู้ชมที่สนใจเข้าร่วมงานผ่านระบบออนไลน์ ตามมาตรการป้องกันโควิด 19
การจัดกิจกรรมโครงการในครั้งนี้มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ประกอบการและทายาทสินค้าวัฒนธรรม ทั่วภูมิภาคประเทศไทย ซึ่งผู้ประกอบการที่สมัครเข้าร่วมโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการจะได้รับการอบรมออนไลน์จากวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญ ใน 3 หลักสูตร 14 รายวิชา เมื่ออบรมออนไลน์แล้ว จะได้รับสิทธิส่งผลงานที่ผ่านการพัฒนา จากผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าวัฒนธรรม เพื่อเข้าสู่การประกวด “สุดยอดผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมของไทย” โดยจะได้รับการคัดเลือก จำนวน 15 ทีม
การจัดอบรมและกิจกรรมในครั้งนี้มีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมอบรมในโครงการฯ กว่า 180 คน มีผลิตภัณฑ์สินค้าวัฒนธรรม กว่า 100 ชิ้น เพื่อเข้าร่วมการพัฒนาสินค้า และแข่งขันการประกวดสุดยอดผลิตภัณฑ์สินค้าไทย โดยผลงานในการแข่งขันครั้งนี้ สามารถจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาต่อยอดความรู้และนำไปประยุกต์ใช้กับการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการและทายาทสินค้าวัฒนธรรมได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ภายในงานลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ ยังมีกิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในแต่ละสาขาวิชาในหลักสูตรแต่ละหลักสูตร โดยมีตัวแทนวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ เพื่อต่อยอดอดีต ปรับปัจจุบัน และสร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต
การลงนามบันทึกครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สินค้าวัฒนธรรมในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ การพัฒนาทุนมนุษย์ไปสู่ทุนทางวัฒนธรรมของไทยให้เกิดความยั่งยืน รวมถึงการสร้างองค์ความรู้เพื่อสร้างประโยชน์แก่สาธารณะต่อไป