กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผนึกกำลังกับกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การดำเนินงานโครงการโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School) สร้าง “พลเมืองเพื่อสิ่งแวดล้อม” ด้าน สส. โชว์ความสำเร็จ ตั้งโรงเรียนอีโคสคูลแล้วถึง 611 โรงเรียน พร้อมเดินหน้าเต็มร้อยตามกรอบพันธกิจ 4 ด้าน ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ และคัดเลือกเข้ารับรางวัล ASEAN Eco – School Award
วันที่ 27 ก.ค. 65 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การดำเนินงานโครงการโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School) ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการดำเนินงานโครงการฯ และเพื่อสนับสนุนให้โรงเรียนภายใต้สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วประเทศ พัฒนาโรงเรียนตามหลักการของโครงการฯ รวมถึงเพื่อเสริมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ความตระหนัก เจตคติ รวมถึงเสริมคุณลักษณะและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ผ่านการจัดกระบวนการเรียนรู้ตามหลักสิ่งแวดล้อมศึกษาในโรงเรียนอีโคสคูล โดยมีผู้บริหารจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการผลักดันให้เกิดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ในครั้งนี้ ด้วยสิ่งที่จำเป็น และต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อเป็นการตั้งรับ และปรับตัวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในปัจจุบัน และอาจเกิดขึ้นในอนาคต คือ การบ่มเพาะ หรือสร้าง “พลเมืองเพื่อสิ่งแวดล้อม” (Green Citizen) ที่มีความตื่นตัว ตระหนัก และรับผิดชอบต่อเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจำเป็นจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจนกลายเป็นวิถีชีวิตของคนหนึ่งคนได้ “โครงการโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School) เป็นการนำหลักการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ (Whole School Approach) และหลักสิ่งแวดล้อมศึกษา (Environmental Education) มาใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยใช้ชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้หรือ Community Based Learning ซึ่งเป็นกระบวนการในการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เกิดการเรียนรู้ในสิ่งแวดล้อมของตนเอง เกิดการคิดวิเคราะห์ ในการแก้ไขปัญหา และพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น หรือ Problem Based Learning อันจะนำไปสู่การพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เติบโตเป็น “พลเมือง” ที่ใช้ชีวิตอย่าง “พอเพียง” เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ “ยั่งยืน” ตามเป้าหมายสูงสุดของโครงการฯ”
รมว. ทส. กล่าวต่อไปว่า ถือได้ว่าโครงการ Eco – School เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ทั้งในมิติด้านการพัฒนาคนหรือด้านการศึกษา และมิติสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่นำพาสู่เป้าหมายการพัฒนาประเทศต่อไป แต่อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานที่เชื่อมโยงอย่างเป็นระบบในการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School) จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลโรงเรียนทั่วประเทศ ในการร่วมขับเคลื่อนและสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ให้สามารถครอบคลุมทุกโรงเรียนทั่วประเทศได้ในอนาคตอันใกล้ และบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาเด็กและเยาวชนไปพร้อมกัน
สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ฉบับนี้ มีกำหนดเวลา ๕ ปี ซึ่งขอบเขตความร่วมมือของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเป็นผู้กำหนดนโยบายที่ส่งเสริมความร่วมมือและเอื้อประโยชน์ในการดำเนินงานโครงการโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School) ประสานงานและมอบหมายหน่วยงานภายใต้ความรับผิดชอบ เพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนทรัพยากรแก่โรงเรียนในการดำเนินงานโครงการ เสริมสร้างและสนับสนุนองค์ความรู้โดยการจัดกระบวนการและสนับสนุนวิทยากรในการถ่ายทอดความรู้ และสื่อการเรียนรู้ แนวทางการดำเนินงานโครงการ กระบวนการสิ่งแวดล้อมศึกษา (Environmental Education) และความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School) รวมทั้ง นิเทศติดตามและสนับสนุนการดำเนินงานของโรงเรียนให้สอดคล้องกับพันธกิจ ๔ ด้าน ตามหลักการของโครงการโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School) สนับสนุนและขยายผลการดำเนินงานโครงการโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School) รวมไปถึงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School)
ด้านนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้ปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนเกิดความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและเห็นความสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการนำสิ่งแวดล้อมมาสู่การจัดการเรียนการสอน หรือสิ่งแวดล้อมศึกษาในโรงเรียนในสังกัดทุกระดับ นำไปสู่การบูรณาการ การจัดการเรียนการสอนแบบใหม่ ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้กับผู้เรียนอย่างมีคุณภาพ ให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุขในสถานศึกษาที่ปลอดภัย จึงได้กำหนดนโยบายและจุดเน้น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ในเรื่องของการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเสริมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ความตระหนัก และส่งเสริมคุณลักษณะและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และส่งเสริมการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้สามารถเป็นอาชีพ และสร้างรายได้ การลงนามในวันนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมกันผลักดันให้เกิดโครงการโรงเรียนอีโคสคูล (Eco-School) โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ (Whole School Approach : WSA) เพื่อสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมและพัฒนานักเรียนให้เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ ตระหนักต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาของท้องถิ่น มีความรู้ ความเข้าใจ อันเป็นผลจากกระบวนการเรียนรู้และการลงมือปฏิบัติจริง และพร้อมที่จะเข้าไปมีบทบาทในการป้องกัน ฟื้นฟู รักษา และใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
กระทรวงศึกษาธิการพร้อมที่จะประสานความร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนอีโคสคูล (Eco-School) ให้ครอบคลุมกับโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วประเทศ ให้บรรลุตามเป้าหมายสูงสุดของโครงการ คือ การพัฒนานักเรียนให้เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่ใช้ชีวิตย่างพอเพียงเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนต่อไป โดยในส่วนขอบเขตความร่วมมือและหน้าที่ความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นผู้กำหนดนโยบายที่ส่งเสริมความร่วมมือ สร้างความรู้ ความเข้าใจในแนวทางการพัฒนาโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School)
โดยยึดแนวทางการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ (Whole School Approach) และมอบหมายให้หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ อำนวยความสะดวกและสนับสนุนทรัพยากรแก่โรงเรียนในการดำเนินงานโครงการโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School) เสริมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ความตระหนัก และส่งเสริมคุณลักษณะและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริม ขยายผลการพัฒนาโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School) ให้กับโรงเรียนในสังกัดทั่วประเทศ และนิเทศติดตามและส่งเสริมให้สถานศึกษาดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาโรงเรียนอีโคสคูล (Eco – School) และนำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ นางสาวตรีนุช กล่าว
ด้าน นายเฉลิมชัย ปาปะทา อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ได้ริเริ่มโครงการโรงเรียนอีโคสคูลขึ้น ในปีพ.ศ. 2550 ภายใต้ชื่อโครงการโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเริ่มต้นจาก 41 โรงเรียนนำร่อง และปัจจุบัน มีจำนวนโรงเรียนอีโคสคูลทั้งสิ้น 611 โรงเรียน โดยแบ่งเป็นโรงเรียนอีโคสคูลเครือข่ายเดิม ที่ดำเนินการตั้งแต่ปี 2550 – 2563 จำนวน 277 โรงเรียน ระดับต้น จำนวน 254 โรงเรียน ระดับกลาง จำนวน 66 โรงเรียน และศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนอีโคสคูล จำนวน 14 ศูนย์“
โดยในการดำเนินงานนั้น ได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานรวมถึงการขยายผลโครงการ โดยแบ่งระดับการดำเนินโครงการออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับต้น (Beginner) ระดับกลาง (Intermediate) และระดับสูง (Advance) พร้อมทั้งยกระดับโรงเรียนอีโคสคูล ที่มีผลการดำเนินงานเป็นที่ประจักษ์ตามกรอบพันธกิจ 4 ด้าน ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนอีโคสคูล เพื่อเป็นต้นแบบการดำเนินงานโรงเรียนอีโคสคูลในประเทศไทย และคัดเลือกให้เข้ารับรางวัล ASEAN Eco – School Award ต่อไป และในปี 2564 เป็นปีแรกในการเปิดรับสมัครโรงเรียนอีโคสคูลระดับต้น โดยมีโรงเรียนที่ผ่านการพิจารณาผลการดำเนินงานและประกาศให้เป็นโรงเรียนอีโคสคูล ระดับต้น จำนวน 254 โรงเรียน” อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าว