เมื่อวันที่ 9 ส.ค.65 เวลา 10.00 น. ตำรวจภูธรภาค 1 ณ ห้องประชุมอมรวิวัฒน์ อาคารอเนกประสงค์ ภ.1 นำโดย พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1), พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม และ พล.ต.ต.พีระพงศ์ วงษ์สมาน รองผบช.ภ.1 ได้สั่งการให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ตำรวจภูธรจังหวัดในสังกัด ปฏิบัติตามการสั่งการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภทความผิดในห้วงระหว่างวันที่ 22 ก.ค.65 ถึง วันที่ 5 ส.ค.65 เน้นความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด สถานบริการ การสืบสวนบุคคลตามหมายจับ การพนัน และยาเสพติด ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจร ให้ความสำคัญกับ “หมู่บ้าน–ชุมชน” ตั้งเป้าลดจำนวนนักเสพหน้าใหม่ โดยนำไปบำบัดฟื้นฟู ทำลายเครือข่ายการค้า ตัดท่อน้ำเลี้ยงขบวนการ พร้อมสร้างแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน มุ่งหวังให้ยาเสพติดหายไปจากสังคมไทย โดยได้เปิดยุทธการปราบปรามไพรี ประกาศสงครามกับยาเสพติดตำรวจภูธร ภาค 1 และมีพิธีปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมไปเมื่อ วันที่ 22 ก.ค.65 ที่ผ่านมานั้น ผลการปฏิบัติในการระดมกวาดล้างอาชญากรรมดังกล่าว สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดจำแนกเป็นความผิดประเภทต่างๆ
– คดีอาวุธปืน ผลจับกุม 571 ราย ผู้ต้องหา 568 คน รวมอาวุธปืน 518 กระบอก แยกเป็นปืนมีทะเบียน 315 กระบอก ปืนไม่มีทะเบียน 203 กระบอก เครื่องกระสุนปืน 711 นัด
-คดีการพนัน จับกุม 737 ราย ผู้ต้องหา 922 คน
-คดียาเสพติด จับกุม 1580 ราย ผู้ต้องหา 1593 คน แบ่งเป็นยาบ้า 439,389 เม็ด, ยาไอซ์ 151.890 กรัม, เคตามีน 35.190 กรัม และยาอี 5.08 เม็ด
-ความผิดเกี่ยวกับสถานบริการ จับกุม 104 ราย ผู้ต้องหา 103 คน
-คดีประเภทตามความผิด พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 (แรงงานต่างด้าว) จับกุม 501ราย ผู้ต้องหา 502 คน
-คดีค้างเก่าบุคคลตามหมายจับ จับกุม 1138 ราย ผู้ต้องหา 1,094 คน
-คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จับกุม 666 ราย ผู้ต้องหา 662 คน
ตำรวจภูธรภาค 1 ได้สนองนโยบายรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการดูแลพี่น้องประชาชน โดยการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดมกวาดล้างอาชญากรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของประชาชน ลดปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และการก่อความไม่สงบเรียบร้อยที่อาจเกิดขึ้น และขอความร่วมมือจาก ภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถมีส่วนร่วมในการช่วยสังคม
แจ้งเบาะแสการกระทำความผิดตามกฎหมายผ่านทางสถานีตำรวจทุกแห่ง และหมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยข้อมูลของผู้แจ้งจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ