“Where The Crawdads Sing” เล่าเรื่องราวของ Kya Clarks หญิงสาวผู้อาศัยอยู่ในบึงน้ำเพียงลำพังที่ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมชายหนุ่มคนดังประจำเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเข้าในช่วงปี 1950’s – 1960’s ทางตอนใต้ของอเมริกา
หนังมีความยาวประมาณ 2 ชั่วโมง ด้วยการบอกเล่าเรื่องราวแบบ flashback ไปยังเส้นทางชีวิตของ Kya ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น ไปจนถึงวัยสาว ด้วยการตัดสลับช่วงเวลาเหล่านั้นควบคู่กับการไต่สวนในห้องพิจารณาคดีอันเป็นช่วงเวลาปัจจุบันของหนัง โดยให้สัดส่วนไปกับชีวิตของเธอในช่วงก่อนจะเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นก็เลยทำให้ช่วงพิจารณากลายเป็นขาดน้ำหนักจนเดาทางได้ โดยหนังมีความเป็น romantic drama ผสม courtroom drama ที่ดูได้เพลิน ๆ แต่แอบไม่ชอบช่วงที่พูดถึงความรักแบบหนุ่มสาวนะ เพราะดูโลกสวยและ feel good จนเกินพอดี ส่วนงาน costumes ดูดีเกินไปสำหรับตัวนางเอกในวัยสาวที่ต้องดิ้นรนดูแลตัวเองเพียงลำพัง ก็งงนะ เพราะตอนวัยเด็กก็ยังมอมแมมไปทั้งเสื้อผ้าจนถึงผิวพรรณ แต่โตขึ้นมาคือสวยและเครื่องนุ่งห่มสะอาดขึ้นมาซะงั้น แก่นแท้ของหนังคือเรื่องของอคติที่อาจจะเข้ามาเบียดบังการวางตัวเป็นกลางในการตัดสินคดีนั่นเอง แต่หนังถ่ายภาพสวยมาก หลายฉากคือตะลึงกับการจัดแสงที่วิจิตรงดงาม บึงน้ำ บ้านเมือง คือโลเคชั่นที่หนังใช้ในการเดินเรื่องทุกฉากคือสวยไปหมด สวยจนอยากจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเองเลยทีเดียว
ติดให้ ****
“Plan 75 วันเลือกตาย” ภาพยนตร์เรื่องแรกของผู้กำกับหญิงหน้าใหม่ จิเอะ ฮายากาวะ ที่ต่อยอดมาจากภาพยนตร์ขนาดสั้นของตัวเองในชื่อ Ten Years Japan (2018) โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงสุดสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในปี 2016 เมื่อมีชายคนหนึ่งได้ลงมือสังหารผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในสถานดูแลผู้สูงอายุไป 19 คน และบาดเจ็บกว่า 40 คน โดยมีแรงจูงใจมาจากความคิดที่ว่า คนพิการเหล่านี้ไร้ประโยชน์และเป็นภาระของสังคม โดย จิเอะ ฮายากาวะ ได้หยิบประเด็นสังคมผู้สูงอายุในญี่ปุ่นมานำเสนอ ผ่านเรื่องราวในอนาคตอันใกล้ เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกกฎหมายที่ชื่อว่า Plan 75 ที่จะเปิดให้ประชาชนผู้มีอายุ 75 ปีขึ้นไปได้ลงทะเบียนเพื่อขอความช่วยเหลือในการปลิดชีวิตตัวเอง หรือการการุณยฆาต พร้อมรับเงินชดเชยเป็นจำนวนเงิน 1 แสนเยน และสวัสดิการมากมายสำหรับใช้ในบั้นปลายชีวิต เพื่อหวังว่าจะเป็นการแก้ปัญหาตัวเลขผู้สูงอายุที่มากจนเกินจุดสมดุล
มุมมองแรก คือผู้สูงวัยในสังคมญี่ปุ่นที่เป็นภาระที่รัฐบาลต้องแบกรับในการเลี้ยงดู มุมมองที่สอง คือพนักงานหนุ่มที่ทำหน้าที่รับสมัครผู้สูงอายุที่สนใจจะเข้าโครงการว่ามันก็เป็นเพียงแค่งานที่ทำอยู่เป็นประจำทุกวัน มุมมองที่สาม หนังเล่าเรื่องผ่านมุมมองของพนักงานหญิงที่รับหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของผู้สูงวัยหลังจากที่ละสังขารไปแล้ว ด้วยเส้นเรื่องที่ถึงแม้จะแยกกันเพื่อให้ครอบคลุมมุมมองที่หลากหลายในเรื่องราวเดียวกัน แนวคิดดีนะ แต่วิธีการเล่ามีความกระท่อนกระแท่น บางช่วงมีจังหวะการเล่าเชื่องช้าเกินไป และเมื่อเส้นเรื่องทั้งหมดมาบรรจบกันก็รู้สึกไม่ค่อยสนิทและพอดีเท่าไหร่ ตอนจบที่ควรจะเป็นหมัดเด็ดก็กลายเป็นเบาเกินไปจนเสียของ แต่ดูแล้วก็ได้อาหารสมองนะ ในประเด็นที่คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ควรหรือไม่ที่เราจะสามารถมีสิทธิ์ในการเลือกความตายในแบบที่เราต้องการได้ แต่ความตายของเรานั้นจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติจริงหรือไม่ แล้วแง่มุมทางศีลธรรมจรรยาล่ะ คิดต่อได้อีกหลายเรื่องเลย รวม ๆ แล้วเป็นหนังดีที่ดูไม่ยากแต่กลับดูไม่สนุก แถมตอนจบก็ยังไม่มีพลังมากพอจะเหนี่ยวจิตใจให้ดิ่งลงตาม theme ของหนังได้อีก
ติดให้ **
“Hunt ล่าคนปลอมคน” ซึ่ง มงคลซีเนม่า พร้อมส่งภาพยนตร์แอ็กชั่น ระทึกขวัญ สัญชาติเกาหลี ผลงานกำกับครั้งแรกในชีวิตของ “อีจองแจ” พร้อมเขียนบทและนำแสดงประชันฝีมือกับ จองอูซอง (Daisy, Sad Movie) กับเรื่องราวเกิดขึ้นในยุค 80 เมื่อครั้งที่เผด็จการทหารเรืองอำนาจสูงสุด หัวหน้าฝ่ายกิจการต่างประเทศของหน่วยสืบราชการลับเกาหลี พยองโฮ (อีจองแจ) และหัวหน้าฝ่ายกิจการภายในประเทศ จองโด (จองอูซอง) ถูกมอบหมายให้ตามล่าสายลับเกาหลีเหนือที่ได้ฉายาว่า “ดงลิม” ซึ่งแฝงตัวลึกอยู่ในองค์กร เมื่อสายลับเริ่มปล่อยข้อมูลลับสุดยอดที่อาจทำให้ทั้งประเทศสั่นคลอน สองบิ๊กแห่งองค์กรถูกบีบให้ต้องมาสืบสวนกันเอง ซึ่งถ้าหาตัวการไม่ได้พวกเขาเองอาจต้องกลายเป็นแพะรับบาปในแผนการร้ายที่เดิมพันด้วยความเป็นความตายของประธานาธิบดีเกาหลีใต้เป็นเรื่องราวของ พัคพยองโฮ กับ คิมจองโด ต่างปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ ฝีไม้ลายมือของเขาได้รับการยอมรับจากหลายฝ่ายเสมอมา แต่เมื่อสถานการณ์พลิกผันด้วยการมีสายลับเกาหลีเหนือแอบแฝงด้วยเข้ามา ทำให้เขาต้องลุกขึ้นมาห้ำหั่นและสืบค้นหาความจริงที่แอบซ่อนอยู่ว่ามันคืออะไรกันแน่
พอปูพื้นเสร็จแล้วคือเรื่องเดินเร็วมาก เร็วจนแทบไม่มีเวลาให้พัก ต้องตามต้องลุ้นไปตลอดเวลา เป็นแอ็กชั่นทริลเลอร์ที่ดุเดือดจริง ๆ แต่เป็นหนังย้อนยุคนะ เรื่องราวเกิดขึ้นในยุค 80’s ในช่วงเวลาท้าย ๆ ของยุคสงครามเย็นที่เกาหลีใต้เองก็ยังปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหาร ความ ทริลเลอร์ คือการต้องลุ้นไปกับการที่หน่วยข่าวกรองมีความไม่ลงรอยกันในการสืบสวนหาตัวสายลับเกาหลีเหนือ แถมยังทิ้งปมไว้ให้คิดตามอีกว่า ‘ตกลงคนไหนคือสายลับตัวจริง’ เพราะทั้งคู่ต่างก็มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยไปแพ้กัน ส่วนแอ็กชั่นคือสะใจกับฉากบู๊ ที่มีทั้งไล่ล่าและลงไม้ลงมือที่ดุเดือดเลือดพล่าน และมีการชิงไหวชิงพริบกันตลอด ซึ่งบทหนังคือเอาอยู่ ทุกอย่างที่ตัวละครหลักทั้งสองทำก็มีเหตุผลทั้งสิ้น เป็นหนังดูยากนิด ๆ ตรงที่ตัดสลับช่วงเวลาอดีตกับปัจจุบันที่ไม่ได้ทำภาพให้ออกมาต่างกันสักเท่าไรเลย ต้องตั้งสติดี ๆ ถึงจะดูออกว่าอันไหนเป็นช่วงเวลาไหน โดยรวมแล้วสนุกมากกก
ติดให้ **** ครึ่ง
“Bodies Bodies Bodies” เป็นเรื่องของวัยรุ่น Gen Z 8 คน ที่พ่อแม่รวยกลุ่มหนึ่งมารวมตัวปาร์ตี้กันในค่ำคืนที่พายุเฮอริเคนเข้าจนทำให้ไม่สามารถติดต่อโลกภายนอกได้ และเมื่อสมาชิกในกลุ่มค่อย ๆ ทยอยตายลงทีละคน คนที่เหลือจึงต้องพยายามเอาตัวรอดและสืบหาให้ได้ว่าใครคือฆาตกรตัวจริง!
ในเรื่องมีตัวละคร 8 ตัว ดูเหมือนจะไม่เยอะ แต่มีปัญหาในการจดจำ เพราะออกแบบมาคล้าย ๆ กัน ทำให้ขาดเอกลักษณ์ ต้องใช้เวลาทำความรู้จักสักพัก และทุกตัวคือใส่มาเพื่อให้ตาย แต่กับตัวที่รอด พอถึงตอนจบก็ดูเหมือนจะไม่ได้เรียนรู้อะไรที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นแต่อย่างใด แต่หนังสร้างบรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจในหมู่เพื่อนได้ดี พอสมาชิกเริ่มตายก็ต้องลุ้นไปตลอดเวลา มีทั้งช่วงรุงรังและน่ารำคาญกับพฤติกรรมของตัวละคร สลับกับการลุ้นระทึกว่าใครจะอยู่ใครจะไป หนังล้อเลียนความเป็น Gen Z ได้สะใจดี หลายมุกที่เอามาใช้คือจริงมาก ๆ พฤติกรรม แนวคิด มุมมอง มันใช่เลย แล้วเมื่อหนังเฉลยคือมันเซอร์ไพรส์มาก เซอร์ไพรส์ในความช่างคิดที่ไม่เหมือนใคร ถ้าจบแบบนี้ก็คือสารพัดคำถามที่มีอยู่ในใจตลอดมาก็ไม่ต้องไปถามต่อแล้ว อะไรที่ไม่ชอบก็มองข้ามไปได้เลย เพราะชื่นชมกับตอนจบในความคิดนอกกรอบมาก ๆ
ติดให้ ***