ไก่อูกัสจับมือกับสถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มมส.ส่งเสริมผ้าไทยและรากเหง้าของชาติพันธุ์ต่างๆใน Concept: Mahasarakham Fabric Go Funky! เพื่อสนับสนุน Project ใหญ่ครั้งสำคัญ The International Cultural Exchange and Collaboration : ASEAN+3 Textiles Project ณ สถาบันขงจื่อ มมส.
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา ดีไซน์เนอร์ชื่อดัง “ไก่ อูกัส” ได้เข้าร่วมพิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการนานาชาติ โดยมีผู้เข้าร่วมหลายประเทศ ได้แก่ จีน / UK / พม่า / กัมพูชา /เวียดนาม / สปป.ลาว /ไทย (เหนือ กลาง อีสาน ใต้) พร้อมทั้ง มิสเเกรนด์ร้อยเอ็ด / มิสเเกรนด์ขอนแก่น และสาวน้อยแสนซน 30 กว่าชีวิตที่มาเดินแบบในครั้งนี้ (แฟชั่นอีสาน-ไทย-จีน-มองโกล-ยุโรป) เพราะการปลูกฝังวัฒนธรรมนั้นต้องเริ่มฝังชิปกันตั้งแต่ยังเด็กโดยดีไซเนอร์รางวัลระดับนานาชาติเป็นผู้ออกแบบผ้าไทยในสไตล์อินเตอร์โดยนำผ้า ญี่ปุ่น จีน ยุโรปมาตัดเย็บผสมผสานกับผ้าไหมและผ้าฝ้ายไทย คือ Fashion for Peace เพราะความแตกต่างนั้นทำให้โลกนี้สวยงาม [Diversity is Beautiful] และเราสามารถอยู่รวมกันได้อย่างมีความสุข
และแนวคิดนี้ได้ตรงกับอาจารย์ทม เกตุวงศา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน จึงได้ประชุมหารือกับอีกหลายภาคส่วน
งานระดับนานาชาติครั้งนี้ได้รับเกียรติกล่าวเปิดงานจาก นายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ร่วมขับเคลื่อนการแลกเปลี่ยนและให้ความร่วมมือเกี่ยวกับวัฒนธรรมผ้าทอ-ผ้าถิ่น โดยท่านวัฒนธรรมจังหวัดมหาสารคาม นายชูชาติ ราชจันทร์ ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับผ้าทอ-ผ้าถิ่นกับไก่อูกัส พร้อมทั้งร่วมฟังการเสวนาร่วมกัน
การสัมมนาในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก Mr.Lin Haoye ผู้อำนวยการสถาบันขงจื่อ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลกเข้าร่วมงานเสวนาในหัวข้อ “แนวทางการสร้างความร่วมมือและเครือข่ายประเทศ ASEAN+3 ด้านการพัฒนาวัฒนธรรมผ้าทอ-ผ้าถิ่น” และอีกหนึ่งไฮไล้ท์สำคัญของการจัดงาน The International Cultural Exchange and Collaboration : ASEAN+3 Textiles Project ณ สถาบันขงจื่อ มมส. ในครั้งนี้ คือดีไซเนอร์มือรางวัลสายเลือดไทย-จีน ‘Kai UKAS’ กับการแสดงแฟชั่นโชว์: “ไทยช่วยไทย-เที่ยวไทยเท่ห์-ใส่ผ้าไทยเที่ยวมหาสารคามยิ่งโคตรเท่ห์กับ UKAS SAVE THE ROOTS Mahasarakham Fabric go Funky ! by KAI UKAS”
“ถ้าคุณเห็นคำว่า ROOTS ของเรามันมี S เพราะมันใช่รากเดียวเราสนับสนุนรากทุกรากทุกศาสนา-ทุกวัฒนธรรม-ทุกประเทศมาหลอมรวมกันเพราะคนเราอยู่คนเดียวบนโลกนี้ไม่ได้ และฉันใดดีไซเนอร์ทุกคนบนผืนโลกใบนี้ต่างใช้รากเหง้าเป็นข้อต่อรองและกวนกระแสด้านแฟชั่น และโรยหน้าด้วยสไตล์ของตนเองก็แค่นั้น และถ้าแฟชั่นเปรียบได้กับอาหาร อาหารจานนี้ก็ถือได้ว่าเด็ดที่สุดบนโต๊ะแล้ว ที่สำคัญคนไทยชอบเห็นเสื้อผ้าเป็นแค่เสื้อผ้า แต่เมืองนอกเสื้อผ้านั้นคือธุรกิจหมื่นล้าน-แสนล้านเลยนะคะสร้างรายได้ให้กับประเทศมากมาย ไม่งั้นเขาคงไม่มี Chanel-Louis vuitton-LVMH ฯลฯ และจริงๆแล้วเสื้อผ้าเขามีจิตวิญญาณนะคะ และยังค้นหาคนที่ใช่เพื่อสวมใส่เขา และถ้ามีเคมีที่ตรงกัน ใช่ไม่มีใครเอาคุณอยู่หรอก!” ไก่อูกัสกล่าว