หนังดีติดดาว***
“๑๐๐ The One Hundred” ภาพยนตร์แอ็กชัน / ระทึกขวัญ / แฟนตาซีจากค่าย เนรมิตรหนัง ฟิล์ม ผลงานของ 3 ผู้กำกับ ชาลิต ไกรเลิศมงคล, ภาคภูมิ วงษ์จินดา, พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล ที่ร่วมแสดงนำด้วย ในบท ลีโอ พร้อมด้วย ชัญญา แม็คคลอรี่ย์ รับบท เฟม, เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี รับบท ฟิวส์, ชนิดาภา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์ รับบท เมย์, วรรณปิยะ ออมสินนพกุล รับบท แคท, กุลฑีรา ยอดช่าง รับบท ลีน่า, เดวิด อัศวนนท์ รับบท วิท เป็นเรื่องราวที่จับเจ้า “ตะบองพลำ” ตะขาบยักษ์ในตำนานไทยความยาวกว่า 18 เมตร มาแต่งเสริมเติมสีสันให้เป็นมอนสเตอร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งที่ถูกใช้เป็นที่กักตัวให้กับผู้ที่ติด Covid-19 กลุ่มหนี่ง และเมื่อมันออกอาละวาด คนกลุ่มนี้จึงต้องลุกขึ้นสู้กับมันเพื่อเอาตัวรอดให้ได้
หนังใช้ตัวละครหลัก 4 ตัว โดยแบ่งเป็นคู่พี่น้อง 2 คู่ คือ ลีโอ กับ ลีน่า และ พ่อ ที่เป็นใบ้ กับอีกคู่คือ ฟิวส์ และ เฟม ที่เป็นพี่น้องยูทูบเบอร์ชื่อดัง เป็นตัวเดินเรื่อง โดยมีตัวละครรองอีกชุดหนึ่งที่ใช้เป็นตัวประคองเส้นเรื่องและสร้างสีสัน หนังออกแบบตัวละครมาดี เพราะแต่ละตัวมีเอกลักษณ์ทั้งเด่นและด้อยให้จดจำ ทว่าหนังมีปัญหาอยู่ที่บทและการตัดต่อพอสมควร หลายฉากหลายตอนที่ตัวละครทำอะไรไม่สมเหตุสมผล เส้นเรื่องดูตะกุกตะกักและกระโดดไปกระโดดมา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะเล่าย้อนในบางฉาก จนรู้สึกถึงความไม่เรียบของเรื่องราว แต่ในส่วนที่ตั้งใจให้เป็น flashbacks คือโอเคนะ แถมยังดรามาออกมาได้ดีในระดับนึงด้วย และหนังมีอะไรให้ลุ้นตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะการเอาตัวรอดจากอันตรายจากสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ว่าจะความไม่น่าไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างตัวละครทั้งหมด ตรงนี้สนุกและน่าติดตามใช้ได้เลย แต่พอถึงฉากแอ็กชันก็ดันตกม้าตายด้วยการแสดงที่ดูไม่จริงจังกับ CG มอนสเตอร์ที่ดูปลอมอยู่ดี แต่ถือเป็นก้าวที่กล้าของวงการหนังไทย แต่ก็เป็นก้าวที่พอก้าวออกมาก็สะดุดล้มคว่ำไม่เป็นท่าเสียนี่
ติดให้ *
ปลุกตำนานความฟิน ให้ได้อินอีกครั้ง! กับภาพยนตร์อนิเมะขวัญใจชาวไทยกับ “Dragon Ball Super : Super Hero” ซึ่งภาคนี้เรื่องราวมีอยู่ว่า กองทัพโบว์แดงได้ถูกซุนโกคูทำลายลงไปแล้ว แต่ผู้สืบทอดจิตวิญญาณของกองทัพโบว์แดงก็ได้สร้างสุดยอดมนุษย์ดัดแปลงขึ้นมาสองตัว นั่นคือ แกมม่า 1 และแกมม่า 2 มนุษย์ดัดแปลงสองตัวนี้เรียกตัวเองว่า “ซูเปอร์ฮีโร่” พวกเขาเริ่มโจมตี “ปิคโกโล่” “โกฮัง” รวมถึงคนอื่น ๆ และยังจับตัว “ปัง” ลูกสาวของโกฮังไปเพื่ออะไรบางอย่าง งานนี้ยอดคุณพ่อต้องปลุกพลังไซย่าให้ตื่นขึ้น เพื่อช่วยลูกสาวสุดที่รักจากวายร้าย
ฉากเปิดเรื่องรื้อฟื้นเรื่องราวที่ผ่านมาให้เข้าใจก่อนนำเข้าเรื่องว่า มีผู้ที่ต้องการยึดครองโลกด้วยการจ้างนักวิทยาศาสตร์สร้าง แกมม่า 1 และแกมม่า 2 มนุษย์ดัดแปลงสองตัวที่เรียกตัวเองว่า “ซูเปอร์ฮีโร่” เพราะถูกฝังหัวแบบนั้น แล้วแกมม่า 2 ก็ถูกส่งไปปะฝีมือกับอาจารย์ปิคโกโล่ เสียงซาวน์ต่อสู้กันตุบตับ ๆ กระหึ่มทั้งโรง แถมมีตัวหนังสือตบมุกตลกประกอบฉากต่อสู้ ดูไปหัวเราะไป คือมีมุกตลกสอดแทรกตลอดเรื่อง เราไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้แต่ก็ชอบอาจารย์ปิคโกโล่มานาน ยิ่งเรื่องนี้สร้างมาเพื่ออวยปิคโกโล่ นางเท่สุด ๆ ตอนใส่ชุดของฝ่ายศัตรูขณะแฝงตัวเข้าไปสืบข้อมูลว่าพวกมันต้องการอะไร และได้กล่อมปัง ลูกศิษย์ตัวน้อยให้ยอมถูกจับเพื่อให้โกฮังไปช่วย สาเหตุเพื่อปลุกพลังไซย่าของโกฮังนั่นด้วย เพราะอยู่บนโลกนานคุณพ่อโกฮังหมกมุ่นทำรายงานจนลืมฝึกพลัง ถือเป็นอนิเมะที่ภาพสวย เนื้อหาดำเนินเรื่องดี สนุก ตื่นเต้น ทั้งสอดแทรกเรื่องความเสียสละ ความรักครอบครัว และความรักที่หุ่นแกมม่า 1 และแกมม่า 2 มีต่อเจ้านายที่สร้างตน มีครบรสเลย และคนวาดสร้างแกมม่า 1 และแกมม่า 2 ออกมาน่ารักปนเท่ น้ำตาซึมเลยฉากแกมม่า 2 สละตัวเองเพื่อช่วยพวกปิคโกโล่และโกฮังปราบ เซล ที่ถูกสร้างเป็นไซบอร์กที่มีพลังเหนือกว่าหุ่นแอนดรอยด์ของดร.เกโร่ถูกปลุกให้ตื่น ดูเรื่องนี้เห็นหุ่นแอนดรอยด์มีชีวิต มีความคิดปกป้องคนที่สร้างตนแล้วยังเป็นฮีโร่ที่ปกป้องโลกจริง ๆ ในเรื่องพวกโงกุนก็มาแจมให้หายคิดถึงด้วย ดูจบยิ้มอิ่มสุขและอยากให้มีภาคต่อไปเรื่อย ๆ
ติดเต็ม *****
“HOLY SPIDER” ภาพยนตร์สุดอื้อฉาวที่โดนแบนในอิหร่าน ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง เล่นประเด็นสุดรุนแรงว่าด้วยการฆาตกรรมอันน่าสะพึง เมื่อมีโสเภณีถูกฆ่าตายในเมืองมัชฮัด สำหรับเหตุการณ์ใน Holy Spider เกิดขึ้นที่เมืองมัชฮัดอันศักดิ์สิทธิ์ ของประเทศอิหร่าน เกิดเหตุสะเทือนขวัญที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อมีฆาตกรต่อเนื่องออกล่าและสังหารโสเภณีถึง 16 คนในช่วงปี 2000-2001 เรื่องใหญ่ขนาดนี้ นักข่าวหญิง ราฮิมี จึงเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อหาทางไขคดี และช่วยทางการล่าตัวคนร้ายให้ได้ แม้ว่าผู้คนรอบตัวจะไม่เอื้อให้เธอสามารถไขคดีอย่างสำเร็จลุล่วงเลย แต่ยิ่งเธอเข้าใกล้ความจริงมากเท่าไหร่ เธอยิ่งพบความน่าสะพรึงว่า ฆาตกร อ้างว่าเขาได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้กวาดล้างคนบาป เพื่อปกป้องผู้คนในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
เป็นหนังถูกแบนในอิหร่าน และเข้าฉายในบ้านเราด้วยเรตติ้ง ฉ20 เพราะหนังไม่บันยะบันยังกับภาพเซ็กซ์ที่โจ๋งครึ่มและนำเสนอความรุนแรงในการลงมือฆาตกรรม ชนิดที่ต้องจิกเท้าลงพื้นตอนดูกันเลย ไม่ใช่หนังประเภทต้องมาลุ้นว่าใครคือฆาตกร เพราะหนังแบ่งเส้นเรื่อง คือมุมมองของนักข่าวสาว และมุมมองของฆาตกร โดยเล่าเรื่องราว 2 เส้นขนานไปพร้อม ๆ กัน แล้วตัดสลับ โดยมุมมองของนักข่าวก็เล่าในการตามหาตัวฆาตกร ที่ตัวละครหลักต้องพบปะผู้คนมากมาย ทั้งตำรวจ ผู้หญิงหากิน ญาติพี่น้องของเหยื่อ ฯลฯ ความสนุกก็คือเหมือนเรากำลังต่อจิ๊กซอว์ข้อมูลไปเรื่อย ๆ ในขณะที่มุมฆาตกรก็ให้เราเห็นภาพ family man และ father figure ผู้ซึ่งเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำคืองานของพระเจ้า คือความดีงามที่ต้องไปให้สุดโดยไม่มีคำว่าหยุด หนังสร้างความกดดันได้ดีระดับนึงเมื่อเล่าในมุมของฆาตกร ยิ่งพอเข้าใจความคิดของฆาตกรที่ไม่คิดว่าตัวเองทำผิดแล้วก็ยิ่งกดดัน แต่ความตึงเครียดจะแผ่วลงเมื่อสลับไปที่มุมมองของนักข่าวสาวจะเป็นการตีแสกหน้าระบบราชการและค่านิยมของสังคมอิหร่านแบบตรง ๆ โดยชูประเด็นเรื่องสิทธิสตรีที่ทั่วโลกรับรู้กันว่า ในตะวันตกนั้น ผู้หญิงอิหร่านถูกกดขี่มากแค่ไหน เพราะตั้งใจถล่มสังคมและค่านิยมของรัฐอิสลามแบบเข้มข้นอย่างอิหร่านแบบไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมอีกต่อไป ทุกศาสนาล้วนสอนให้สาวกเป็นคนดี หากแต่ความสุดโต่งของความเชื่อก็อาจจะนำมาซึ่งผลในทางลบได้เช่นกัน
ติดเต็ม *****
ได้เวลาขึ้นไทม์แมชชินตะลุยสงครามอวกาศครั้งใหม่ ใน “โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ ตอนสงครามอวกาศจิ๋วของโนบิตะ 2021” โดยนำเสนอเรื่องราวของ ‘ปาปิ’ มนุษย์ต่างดาวตัวจิ๋วผู้เป็นประธานาธิบดีของดาวพิริก้า ได้หลบหนีจากกองกำลังกบฏและเดินทางมายังโลก จนได้พบกับ “โดราเอมอน” และเหล่าสหาย ที่ต่อมาพวกเขาก็ได้เป็นเพื่อนกัน แต่แล้วเรือรบอวกาศของดาวพิริก้าก็ได้ไล่ตามมายังโลก เพื่อจะจับกุมปาปิ ทำให้ปาปิต้องเลือกที่จะเผชิญหน้ากับกองกำลังกบฎเพียงลำพัง! ทำให้การผจญภัยครั้งใหม่ของโดราเอมอนและผองเพื่อนจึงได้เริ่มต้นขึ้น!
สารที่หนังต้องการจะสื่อก็ชัดเจนและตรงประเด็นดี เพราะทำเรื่องที่มีความเป็นการเมืองการปกครองที่เด็กน่าจะเข้าใจยากให้ดูง่าย แถมยังแซมเรื่องมิตรภาพและความกล้าหาญที่จะเสียสละให้เพื่อนและอุดมการณ์ได้อย่างลงตัวแบบที่เด็ก ๆ น่าจะสนุกและประทับใจแน่นอน แต่ทุกอย่างมันดูเด็กไปหมด บางฉากบางตอนคือสามารถขยี้ดรามาได้สบาย ๆ แต่ก็ปล่อยผ่านไปเฉย ๆ สำหรับบทเฉลี่ยบทบาทให้ตัวละครหลักได้ดี ทุกตัวมีความเป็นมนุษย์ในระดับนึงและมีเนื้อเรื่องดี ตัวละครประกอบก็คือมาเพื่อเป็นตัวประกอบจริง ๆ มาเป็นสีสันท่านั้น มุกตลกแบบไร้พิษภัยก็ยิงมาเรื่อย ๆ สามารถหัวเราะตามได้โดยไม่ต้องห่วงลูกหลานที่นั่งดูข้าง ๆ และชอบบรรยากาศเวลาลูกหลานถูกใจกับเรื่ิองราวก็ส่งเสียงเชียร์และปรบมือให้ รู้สึกว่าเป็นอะไรที่น่ารักมาก ๆ แล้วอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองก็เคยอายุเท่านั้น เคยสนุก เคยประทับใจ เคยเสียน้ำตาให้ตัวละครและเรื่องราวเดียวกันนี้มาแล้วเหมือนกัน
ติดให้ **
“POPRAN ปู๋ปิ๋วปิ้ว” ผลงานของผู้กำกับ ชินอิจิโร่ อูเอดะ (จาก One Cut of the Dead) ที่นำแสดงโดย โยชิ มินากะวะ, ฮิเดโนบุ อาเบระ, เอริ โทคุนางะ กับเรื่องราวของ ทัตซึยะ ทางามิ (โยจิ มินากาวะ) ชายหนุ่มเจ้าสำราญผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานได้ตื่นขึ้นมาและพบว่าน้องชายตรงหว่างขาของเขาได้หายไป ทำให้ทางามิต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากความทะเล้นและความฮาไร้ขีดจำกัด เพราะจากกระปู๋ที่แสนภักดีก็เกิดกลายพันธุ์ไปเป็นมฤตยูปลาบินด้วยความเร็วสูงเหนือท้องฟ้า โดยงานนี้เขามีเวลาเพียง 6 วันเท่านั้นที่จะตามจับมันกลับคืนมา ก่อนที่สมบัติอันล้ำค่าของเหล่าชายชาติชาตรีจะต้องสูญหายไปตลอดกาล
คิดว่าเป็นหนังตลกที่ไม่ต้องคิดอะไรมากนอกจากหัวเราะไปกับมุกตลกตลอดทั้งเรื่อง แต่ปรากฏว่าเป็นหนังดรามาที่แทบจะไม่มีความตลกเลย ไม่ต้องไปจริงจังกับประเด็นที่ว่า กระปู๋หายไปได้อย่างไร เพราะตรงนี้มันเป็นอะไรที่แฟนตาซีและเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่เนื้อแท้ที่หนังต้องการจะสื่อก็คือเรื่องของการรู้จักตัวเองและไม่ลืมคนที่รักและห่วงใยเราต่างหากล่ะ หนังพาเราไปสำรวจเรื่องราวในอดีตของตัวละครหลัก โดยไม่ให้รายละเอียดและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเลย ไม่มีการขยี้ดรามาในความสัมพันธ์ของตัวละครหลักกับพ่อแม่และอดีตภรรยา คือรู้แค่ว่าตัวละครหลักทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แล้วมุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อตามฝันของตัวเองให้เป็นจริง โดยไม่เคยจะหันหลังกลับไปยังที่ที่จากมาอีกเลย จนกระทั่งเกิดเรื่องของสำคัญประจำกายหายนี่แหล่ะ โดยรวมก็เป็นหนังที่ดูได้ มีประเด็นดีที่เก็บเอามาคิดต่อได้ แต่ก็ไม่ได้ดีถึงขนาดน่าจดจำอะไร
ติดให้ **
“ฮักเจ้าอีหลี” ที่นำแสดงโดย ภูศิลป์ วารินรักษ์, ยุทธนา เปื้องกลาง, จิรพรรณ บุญชิต กำกับโดย วรฤทธิ์ นิสกลม เล่าเรื่องราวของ เคน ตัวตลกคณะหมอลำชื่อดัง ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้องนำ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากมายสักแค่ไหนก็ไม่ท้อถอย ยอมกัดฟันสู้เพื่อที่จะให้ความฝันเป็นจริงให้ได้ในสักวันหนึ่ง
หนังเดินเรื่องสั้นมากในเวลา 77 นาที ที่ทุกอย่างออกมาในทางทีเล่นทีจริงผสมตลกขบขันเสียมากกว่าดรามา มุกกตลกก็บ้าน ๆ พื้น ๆ ยิงปุ๊บ ขำปั๊บ เป็นอะไรที่ย่อยง่ายและเหมาะกับตลาดต่างจังหวัดมาก ๆ และด้วยความทีเล่นทีจริงนี่แหล่ะ ทำให้แก่นแท้ที่หนังต้องการพูดถึง อย่างการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่าง ๆ นานาในการทำความฝันให้เป็นจริงนั้นดูแผ่วลงเลย หนังไม่ได้มีความเป็นหนังเพลงนะ แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่ตัวละครอยากจะเป็นนักร้องชื่อดังก็เลยใส่เพลงลงไป ซึ่งหลายเพลงก็ฟังดูสนุกสนานและติดหูใช้ได้ ซึ่งเข้าใจว่านักแสดงส่วนใหญ่น่าจะเป็นหมอลำมีชื่อเสียงหลายท่าน แต่พอดีไม่ใช่แนวเลยไม่รู้จักใครสักคน แต่หนังได้สะท้อนให้เห็นถึงศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยในภาคอีสานได้พอสมควร ได้เห็นชีวิตคนหมอลำให้พอรับรู้บ้าง ทว่าในส่วนของดรามาหลายครั้งที่น่าจะขยี้ให้เป็นผลได้ก็เลยไม่เกิด
เลยไม่ติดดาว
“Don’t Look At The Demon” หรือชื่อไทย “ฝรั่งเซ่นผี” ผลงานนำแสดงโดย แฮรี่ ดิกกินสัน (จาก The King’s Man) ฟิโอนา ดูริฟ (จาก Chucky, Tenet) และนักแสดงชาวไทย ก้องหล้า กาญจนโหติ (จาก ร่างทรง) กับประสบการณ์ช็อกข้ามทวีปของทีมนักล่าผีจากอเมริกา ที่บินข้ามโลกมาพิสูจน์เคสจับวิญญาณที่ประเทศไทยและมาเลเซีย ก่อนที่จะต้องเจอกับอาถรรพ์เฮี้ยนจัดในแบบที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อนจนหนึ่งในสมาชิกของทีมโดนผีเล่นงานเข้าอย่างจัง ทำให้ร้อนถึงพระสงฆ์ชาวไทยผู้แกร่งกล้าอาคมต้องยื่นมือเข้ามาต่อสู้กับวิญญาณที่กำลังแผลงฤทธิ์อยู่
หนังใช้เวลาปูพื้นให้รู้จักตัวละครแค่ชั่วครู่ก็ใส่เกียร์เดินหน้าเรื่องราว ที่ไม่มีอะไรซับซ้อน ความน่าสนใจก็คือ ตัวละครเป็นฝรั่ง แต่ต้องมาเจอกับความลี้ลับแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วงแรกหนังน่าติดตามมาก เพราะมีอะไรให้อยากรู้ อยากเห็นเต็มไปหมด แต่จังหวะการเข้าถึงสิ่งลี้ลับคือจงใจจนโจ่งแจ้งเกินไป ทำให้เดาได้ว่าตุ้งแช่ต้องมาแน่ แล้วเนื้อหาผสมความเชื่อและศรัทธาแบบคริสต์ศาสนาและพุทธศาสนาเข้าด้วยกัน แต่ก็ค่อย ๆ ละทิ้งความเป็นตะวันตกไปทีละนิดจนกลายเป็นหนังผี หนังสยองขวัญแบบเอเชีย เพียงแต่มีฝรั่งเดินเรื่องทั้งหมด สำหรับความยาวหนึ่งชั่ว โมงครึ่งโดยประมาณ ช่วงแรกน่าติดตามด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอช่วงกลางก็มีความตื่นเต้นที่ตัวละครช่วยกันแก้ปัญหาและตามล่าความจริง และช่วงท้ายค่อนข้างจะเสียของ เพราะโทนของความเป็นตะวันตกพบตะวันออกมันตีกันจนไม่กลมกลืนเท่าไหร่
ติดให้ * ครึ่ง
“The Reef: Stalked ครีบพิฆาต” หนังฉลามที่มาพร้อมกับโศกนาฏกรรมสุดสยองกลางทะเล ผลงานเรื่องล่าสุดของเจ้าพ่อหนังระทึกขวัญ “แอนดรูว์ ทรอคกี้” (จาก Black water) แท็กทีมผู้สร้าง Great White เป็นเรื่องราวของ นิคและแอนนี่ สองพี่น้องที่ต้องสูญเสียพี่สาวจากเหตุฆาตกรรม พวกเธอจึงชวนเพื่อนอีกสองคนหลบไปพักผ่อนดำน้ำและพายเรือคายักที่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อลืมเรื่องราวสุดเศร้าที่เกิดขึ้น แต่มันเลวร้ายเมื่อทั้งสี่ถูกฉลามขาวตัวมหึมาจ้องเล่นงานและมันยังคอยตามติดพวกเธอไปทุกที่ไม่ยอมให้คลาดสายตา ทั้งสี่สาวต้องร่วมมือกันเพื่อเอาชนะมัจจุราชเลือดเย็นที่วนเวียนอยู่ใต้ผืนน้ำให้สำเร็จก่อนที่มันจะงาบพวกเธอ
หนังความยาวประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งแต่ใช้เวลาเกือบจะครึ่งชั่วโมงปูตัวละครหลักว่าเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญขึ้นในชีวิตอย่างไร แล้วใช้ตรงนี้มาขยี้ปมความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก แต่ด้วยฝีมือการเขียนบทและควบคุมทิศทางของเส้นเรื่องที่เอาไม่อยู่เลยทำให้หนังที่มีปลาฉลามเป็นตัวประกอบไปซะงั้น การเดินเรื่องเป็นไปตามสูตรสำเร็จทุกประการ เริ่มต้นมาด้วยตัวละคร 4 ตัว ก็เดาได้แล้วว่าใส่มาเพื่อให้ตายและให้ลุ้นว่าใครจะรอด หนำซ้ำพฤติกรรมของตัวละครตอบสนองต่อเหตุการณ์เหล่านั้นก็ไม่สมเหตุสมผล ในส่วนของฉลามก็มีทั้งฉลามจริงที่ดูเหมือนเป็น footage หลุดออกมาจากสารคดี กับฉลาม CG ที่จังหวะเข้าจู่โจมก็ใช้มุมกล้องมุดน้ำให้คลื่นกระแทกเลนส์เอาซะแทบมองไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น สำหรับหนังฉลามเนี่ย สร้างกันมาไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามันมีความยากเหลือเกินที่แหวกแนวไปได้ นาน ๆ ถึงจะเจอหนังตระกูลนี้ที่น่าประทับใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีอะไรให้จดจำเหมือนเรื่องนี้
เลยไม่ติดดาว
“Decision to Leave (헤어질 결심) ฆาตกรรมรัก หลังเขา” แนวดรามาผสม อาชญากรรม ที่นำแสดงโดย ถังเหว่ย, พัคแฮอิล โดยผู้กำกับ พัคชานอุค ซึ่งเป็นเรื่องราวของ แฮจุน ตำรวจสายสืบที่สุขุมต่อคนอื่นรอบข้าง แต่กลับเหมือนเป็นอีกคนเมื่อเขาดำดิ่งเข้าสู่การสืบสวนคดีแต่ละคดี และเขาก็ได้รับมอบหมายให้เสาะหาเบาะแสเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตแบบผิดวิถีธรรมชาติที่เกิดขึ้นในย่านหุบเขาแห่งหนึ่ง ที่นั่นทำให้เขาได้พบกับ ซอแร อดีตภรรยาของผู้เสียชีวิตในคดีนี้ แน่นอนว่าเขาสงสัยเธอเป็นลำดับต้น ๆ ในดคี แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งสงสัย เขากลับยิ่งหลงใหลในเธอมากขึ้น
ช่วงแรกใช้วิธีเล่าเรื่องแบบเล่นท่ายากด้วยการจับเอา 2 ไทม์ไลน์มาไว้ในซีนเดียวกัน ก็เลยต้องใช้สติและสมาธิในการดูพอสมควร การเดินเรื่องจะมาในทรงหนังฆาตกรรม ที่มีการสืบสวนหาความจริงว่าใครคือผู้ร้ายและอะไรเป็นมูลเหตุ แต่เมื่อความสัมพันธ์ของตัวละครหลักสองตัวเริ่มพัฒนาในทางโรแมนติก ความระทึกขวัญก็เจือจางลงทันที ในส่วนของความรักระหว่างตัวละครก็ไปไม่สุดเลยออกแนวรุงรังและผิดที่ผิดทางกับอารมณ์ ที่จริงหนังไม่ได้ดูยากนะ แต่ด้วยความที่ส่วนผสมไม่กลมกล่อมก็เลยทำให้ออกมาแบบไปไม่สุดซักทางนึง ทว่าก็มีความน่าติดตามด้วยพล็อตเรื่องประเภท ใครทำและอะไรเป็นสาเหตุ ที่ผูกมาได้อย่างน่าสนใจ ส่วนตัวละครหลักที่ดูไม่น่าไว้วางใจทั้งพระเอกและนางเอกก็ยิ่งสร้างบรรยากาศความไม่น่าเชื่อและไม่น่าไว้วางใจอีก สรุปว่าหนังเป็น film noir ที่ตัวละครและเรื่องราวมีความเทาผสมดำ ทั้งวิธีการเล่าเรื่องพยายามจะเป็นสไตล์แบบ หว่อง กาไว แต่สุดท้ายก็ต้องเสียของไป
ติดให้ * ครึ่ง