หนังดีติดดาว***
“เจนนิเฟอร์ โลเปซ” ควงหนุ่มหล่อ “จอช ดูฮาเมล” ร่อนการ์ด ลั่นระฆังวิวาห์ พร้อมอาวุธครบมือ ใน ภาพยนตร์คอมเมดี้-แอ็กชันแห่งปีเรื่อง “Shotgun Wedding ฝ่าวิวาห์ระห่ำ” เล่าเรื่องราวระหว่าง ดาร์ซี่ (เจนนิเฟอร์ โลเปซ) และ ทอม (จอช ดูฮาเมล) คู่บ่าวสาวที่กำลังจะเตรียมตัววิวาห์ พวกเขาได้เชิญครอบครัว ญาติและแขกมาร่วมฉลองความรักที่ทั้งคู่มีให้กัน แต่บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียด เมื่อญาติของทั้งสองฝ่ายต่างไม่ลงรอยกัน ท่ามกลางความวุ่นวายกลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อมีกลุ่มก่อการร้ายปรากฏตัวและจับแขกในงานเป็นตัวประกัน ในขณะที่ทุกคนอยู่ในอันตราย คู่บ่าวสาวได้พากันหนีตายขอความช่วยเหลือ แต่ระหว่างทางดาร์ซี่และทอมได้เจอบททดสอบสุดบ้าคลั่ง มันจะเป็นงานแต่งงานที่โคตรจะเร้าใจและเดือดดาลไปด้วยพลังแห่งรัก ตราบใดที่ทั้งคู่ยังไม่ฆ่ากันเองเสียก่อน
คือจากเขียนข่าวก็ตั้งใจจะไปดู เพราะชอบ จอช ดูฮาเมล ตั้งแต่สวมชุดทหารกล้าปกป้องประชาชนใน Transformers แล้ว พอถึงเวลาฉายเปิดฉากคู่บ่าวสาวเตรียมจะแต่งงานวันรุ่งขึ้น ก็มีการรวมญาติของสองฝ่าย เป็นเรื่องจริงนะ ผู้หญิงมักอดทนเพื่อคนที่รัก แม้แต่ทนกับการชี้สั่งของแม่สามีสั่งให้ใส่ชุดแต่งงานฟูฟ่องจนนางเอกดูเตี้ยสั้นและอึดอัดหายใจไม่ออก แต่เรื่องนี้สอนหลายอย่างนอกจากยิงมุกฮา โดยคู่บ่าวสาวต้องฝ่ากระสุนแล้วยังต้องเจอบททดสอบทรหดเสี่ยงตาย เพื่อช่วยญาติของตน แรก ๆ พวกเขาระเบิดความรู้สึกใส่กันจนยกเลิกงานแต่ง เพราะถูกพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายไม่ชอบหน้า แถมอดีตคนรักเจ้าสาวดันโผล่มาทำตัวเป็นพระเอกต่อหน้าพ่อนางเอกที่ให้ท้าย ทว่าความโลภของมนุษย์ทำให้คนทำผิดถึงกับจ้างโจรสลัดมาทำลายงานแต่งเพื่อจะเอาเงิน หนังมีบู๊ผสมแอ็กชันทรายกระจาย ตบด้วยมุกฮาพาหัวเราะลั่นโรงกับภาพเจโลแตะมือจอชเล่นกันหลุดสวยหลุดหล่อ ดูแล้วมีความสุข นั่งยิ้ม หัวเราะตลอดเรื่อง แต่แอบน้ำตาซึมฉากที่ทั้งสองระเบิดอารมณ์ใส่กัน ซึ่งแม้จะเดาทางตอนจบได้ แต่อยากดูเพราะสองนักแสดงก็ส่งมอบความสุขสนุก ดูจบหอบรอยยิ้มกลับบ้านจ้า
ติดให้ *** ครึ่ง
“Christmas Carol คริสต์มาสแค้น” ภาพยนตร์ทริลเลอร์สัญชาติเกาหลี ที่ได้ “พัคจินยอง” จากวงไอดอลชื่อดังอย่าง GOT7 มารับบทนำสุดท้าทาย เพื่อฝากผลงานก่อนจะลาไปเข้ากรมปีหน้า เป็นเรื่องราวของ จูวอลอู ชายหนุ่มที่ยอมถูกจับเพื่อเข้าไปยังสถานดัดสันดานเยาวชน เพื่อสืบหาตัวคนร้ายที่ร่วมกันฆาตกรรมน้องชายฝาแฝดของเขาจนเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม แต่การสืบสวนสรุปสำนวนว่าเป็นอุบัติเหตุ เขาจึงต้องลุกขึ้นมาสืบหาความจริงและชำระแค้นให้จงได้
หนังค่อนข้างดูยากเพราะว่า 2 ชั่วโมงของหนังขับเคลื่อนด้วยบทสนทนาและการตัดสลับช่วงเวลาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ด้วยความที่เป็นหนังฆาตกรรมและการสืบสวน ทำให้ทุกข้อมูลที่หนังปิดบังไว้ค่อย ๆ ปล่อยออกมา มีความสำคัญหมดเลย ต้องคอยกลั่นกรองข้อมูลว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ พร้อมคาดเดาไปเรื่อย ๆ ว่าสุดท้ายใครคือฆาตกรตัวจริง ซึ่งใครชอบดรามาหนัก ๆ ที่ตัวละครต้องเผชิญ ใครชอบการดูหนังไปคิดตามไปด้วยบอกเลยเรื่องนี้เหมาะกับคุณ ส่วนถ้าจะเข้าไปกรี๊ด ‘พัคจินยอง’ บอกเลยว่ากรี๊ดไม่ออก เพราะหนังไม่ได้ขายความหล่อของพระเอกเลย แต่ออกไปทางดิบและเถื่อนด้วยซ้ำ โดยส่วนตัวอึดอัดกับการเดินเรื่องที่อืดอาดและรำคาญการปล่อยข้อมูลที่ไปข้างหน้าสลับถอยหลัง แต่เมื่อได้รับทุกอย่างครบแล้ว หนังฉลาดมากในการเอาทุกอย่างที่ปล่อยมาใช้ได้อย่างคุ้มค่าในช่วงท้าย จนรู้สึกหายเคืองกับความรำคาญตลอดเกือบ 2 ชั่วโมงนั้น
ติดให้ *** ครึ่ง
“THE LOST KING” กษัตริย์ที่สาบสูญ โดยผู้กำกับ สตีเฟ่น เฟรียร์ส, คนเขียนบท สตีฟ คูแกน, เจฟฟ์ โปป ที่นำแสดงโดย แซลลี่ ฮอว์กินส์, สตีฟ คูแกน, แฮร์รี่ ลอยด์ กับเรื่องราวเมื่อพระอัฐิสัณฐานของ พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 (แฮร์รี่ ลอยด์) ซึ่งสูญหายไปกว่า 500 ปี ถูกขุดพบอยู่ใต้ลานจอดรถเทศบาลเมืองเลสเตอร์ จนนำไปสู่การค้นพบความจริงที่ว่าพระองค์ไม่ใช่กษัตริย์ทรราชแห่งประวัติศาสตร์อังกฤษอย่างที่ถูกใส่ร้ายกัน นำโดย ฟิลลิปปา แลงก์ลีย์ (แซลลี่ ฮอว์กินส์) นักเขียนบทภาพยนตร์ชาวเอดินบะระ ที่ตั้งใจจะทำภาพยนตร์เกี่ยวกับกษัตริย์ผู้นี้และพยายามแสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์จอมปลอมนั้นแท้จริงแล้วถูกเขียนโดยผู้ชนะ!
สำหรับช่วงแรกของหนังมีทีเล่นทีจริงจนใจเสียไปหน่อย เพราะจากเรื่องย่อแล้วค่อนข้างคาดหวังว่าจะได้ดูหนังที่จริงจังมาก แต่พอเส้นเรื่องเดินหน้าไปได้สักพัก ความทีเล่นทีจริงก็เปลี่ยนไปเป็นส่วนแทรก ส่วนขยายที่เข้ามาเพิ่มรอยยิ้มให้กับเรื่องราวที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งหนังไม่เน้นไปที่ความจริงจังมากมายนัก มองว่าเป็นข้อดีก็มองได้ เพราะว่ามันดูง่ายและเข้าถึงได้รวดเร็ว แต่อีกมุมหนึ่งเลยคือหนังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือในช่วงของการปูพื้นตัวละครเอก โทนของหนังออกไปในทาง feel good ถึงแม้ว่าหัวข้อที่หนังพูดถึงจะเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ก็ตาม แต่บรรยากาศโดยรวมคือเส้นเรื่องจะไหลไปเรื่อย ๆ ก็ค่อย ๆ ติดตามเรื่องราวและปะติดปะต่อข้อมูลกันไป แต่หนังมีตัวร้ายที่เอาจริงก็ไม่ค่อยร้ายเท่าไหร่ แค่สร้างความหมั่นไส้เรื่อย ๆ แล้วก็มีตัวละครประกอบที่ออกมาสนับสนุนนางเอก แต่ที่สำคัญนางเอกต้องแบกหนังทั้งเรื่องไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าโทนหนังมันจริงจังกว่านี้เชื่อว่า แซลลี่ ฮอว์กินส์ อาจมีลุ้นรางวัลใหญ่ ๆ ในปีหน้าได้เลย
ติดให้ ***
“The Lair” ภาพยนตร์แอ็กชันปนสยองขวัญ กับผลงานของผู้กำกับ นีล มาร์แชลล์ ที่นำแสดงโดย ชาร์ล็อตต์ เคิร์ก, โจนาธาน ฮาวเวิร์ด, เจมี่ แบมเบอร์, คิบอง ทันยี, ลียง อ็อกเคนเดน กับเรื่องราวเมื่อนักบินยอดฝีมือของกองทัพอากาศ ร้อยโทเคท ซินแคลร์ (ชาร์ล็อตต์ เคิร์ก) ถูกฝ่ายศัตรูลอบยิงจนเครื่องบินตกกลางทะเลทรายของประเทศอัฟกานิสถาน ทำให้เธอต้องหลบหนีลงไปอยู่ใต้บังเกอร์ที่ถูกปล่อยทิ้งให้รกร้าง ก่อนจะเจอกรรมซัดหนักอีกรอบเมื่อพบว่า สถานที่แห่งนี้คือ แหล่งอาศัยของสัตว์ประหลาดอาวุธชีวภาพครึ่งมนุษย์-ครึ่งต่างดาว ทำให้หญิงแกร่งอย่างซินแคลร์จำต้องฮึดสู้อย่างไม่กลัวตาย เพื่อจะได้หวนคืนสู่อิสรภาพด้านบนอีกครั้ง
เส้นเรื่องของหนังไม่ได้มีอะไรที่เข้าใจยาก เพราะทุกอย่างเกือบจะเป็นเส้นตรง ถึงแม้ว่าจะมีตัวละครเยอะ แต่เอาจริงก็จะเหลืออยู่แค่ไม่กี่ตัวที่ใช้เป็นตัวเดินเรื่องจริง ๆ ซึ่งมันก็เป็นสไตล์ของหนังแนว surviving horror ที่ต้องใส่ตัวละครเพื่อเอามาไว้ฆ่าทิ้งจำนวนหนึ่งอยู่แล้ว แต่ปัญหาก็คือเมื่อเหลือตัวละครที่จะต้องใช้จริง ๆ ก็ไม่รู้สึกผูกพันและอยากเอาใจช่วยตัวละครตัวไหนเป็นพิเศษเลยนอกจากนางเอกคนเดียว เพราะหนังไม่ได้ปูพื้นตัวละครอื่นให้เรารู้จักคุ้นเคย ในเรื่องคุณภาพของหนังโดยรวมออกไปในทาง Grade B นักแสดงก็ไม่รู้จัก โปรดักชันเกือบ ๆ จะสุกเอาเผากิน CG ก็ลอย ๆ แต่ส่วนตัวค่อนข้างชอบแนวคิดของเรื่องราวนะ หนังไม่มีอะไรให้จดจำเมื่อดูจบ แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดทนดูไม่ได้หรืออยากจะลุกออกจากโรงไปตั้งแต่ 15 นาทีแรกเลย
ติดให้ **
“Whisper of the heart วันนั้น วันไหน หัวใจบรรเลง” เป็นภาพยนตร์ Life-Action ที่ดัดแปลงมาจาก Whisper of the Heart ภาพยนตร์อะนิเมะ 1 ใน 10 อะนิเมะยอดเยี่ยมตลอดกาลของ สตูดิโอจิบิล กับเรื่องราวของ ชิซึคุ เด็กสาวมัธยมต้นแสนสดใส ผู้ชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ เธอได้แต่คิดวนเวียนถึงชื่อที่เธอมักจะเห็นในการ์ดของบัตรยืม-คืนในของห้องสมุด อามาซาวะ เซอิจิ เขาอ่านหนังสือก่อนหน้าฉันหมดเลย เขาเป็นคนอย่างไรกันนะ แต่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งสอง “พบกันอย่างไม่น่าจดจำ” แต่พอได้รู้ถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ของเซอิจิ กลับยิ่งดึงดูดใจของชิซึคุเข้าไปเท่านั้น จนวันนึงเซอิจิสารภาพกับเธอว่าจะไปตามความฝันที่อิตาลี แม้ทั้งสองจะห่างกันไปตามหาความฝันบนเส้นทางของตัวเอง แต่ทั้งคู่ได้แลกคำสัญญาว่าจะกลับมาเจอกันอีกให้ได้
เนื้อเรื่องมีแค่ชายหญิงคู่หนึ่งที่รู้จักและพบรักกันตั้งแต่เรียนอยู่มัธยม เมื่อต้องแยกจากกันและอยู่กันคนละทวีป การเวลาและความห่างไกลจะเป็นข้อพิสูจน์หรือจะเป็นอุปสรรคความรักของทั้งคู่ และแทรกแง่คิดดีตรงพูดถึงการตั้งความหวังและมีความฝันของทั้งคู่ โดยการเล่าเรื่องเป็นการตัดสลับช่วงเวลาในอดีต (1988) และปัจจุบัน (1998) ไปมา ช่วงแรกจะงงหน่อย เพราะยังไม่รู้จักตัวละคร ซึ่งเมื่อผ่านการสลับช่วงเวลาไปมาสักพักก็จะค่อย ๆ ได้ข้อมูลไปเอง และหนังมีหลายส่วนที่แตกต่างกับอนิเมะต้นฉบับ ถ้าชอบก็มองว่าเป็นการตีความเพิ่ม ถ้าไม่ชอบก็เป็นการยืดเรื่องราวจนเกินความจำเป็น ส่วนตัวรู้สึกว่ายืดเยื้อและรุงรังไปกับหลายอย่างที่เพิ่มเข้ามาโดยไม่จำเป็น ที่รู้สึกแย่ที่สุดคือความลึกซึ้งและละเมียดละไมสู้ต้นฉบับไม่ได้เลย ตลอดเวลา 2 ชั่วโมงที่นั่งดูก็พยายามแล้วที่จะอินกับเรื่องราวของทั้งคู่ แต่หนังรักโรแมนติกถ้าสร้างอารมณ์ที่ลื่นไหลให้คล้อยตามไม่ได้ก็พังเท่านั้นเอง มนต์ขลังจากต้นฉบับสูญหายไปเกือบทั้งหมด
ติดให้ *
“โขน” HANUMAN White Monkey อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดย นฤมล ล้อมทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหศีนิมา จำกัด กำกับภาพยนตร์โดย สาโรจน์ สุวัณณาคาร บทภาพยนตร์โดย สาโรจน์ สุวัณณาคาร – จรัญ พูลลาภ นำรูปแบบการแสดงโขน ณ โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง มาเป็นหลักในการผลิตภาพยนตร์ ทั้งด้านการดำเนินเรื่อง การแต่งกาย ท่ารำแบบนาฏศิลป์ไทย รวมถึงขนบธรรมเนียม จารีตต่าง ๆ ที่ใช้ในการแสดงโขน โดยนำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ที่มีอยู่เดิมนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นผลงานทางวัฒนธรรมในรูปแบบภาพยนตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เติมเต็มจินตนาการจากวรรณกรรมให้สมจริง โดยเล่าเรื่องราวของ หนุมาน ตั้งแต่ต้นกำเนิดไปจนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับ พระราม, พระลักษณ์ ไปจนถึง ทศกัณฑ์ ในกลยุทธ์การศึกระหว่าง 2 ฝ่ายนี้
ที่หนังเริ่มต้นเรื่องราวด้วยการแนะนำตัวละครตั้งแต่จุดกำเนิด พร้อม ๆ กับผลักเส้นเรื่องให้เดินหน้าไปเรื่อย ๆ โดยใช้นักแสดงโขนตัวจริงมาเล่นมารำ แล้วใช้ CG ทำฉากหลังและเอฟเฟค พร้อมกับใช้ทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง บทบรรยาย และถ้อยคำเจรจาในการเล่าเรื่องราวรามเกียรติ์ สำหรับคนไทยเราส่วนใหญ่ที่ก็คงเคยผ่านกันมาช่วงตอนเรียนมัธยม ที่เขาตัดเอาบางช่วงบางตอนมาให้อ่านในวิชาภาษาไทย ซึ่งถ้าอ่านเองก็คงไม่รู้เรื่อง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ที่มีหนังเรื่องนี้ออกมา เพราะทำให้เข้าถึงและเข้าใจมหากาพย์ของเรื่องได้เร็วและง่ายมากขึ้น แต่ไม่ค่อยปลื้ม CG ที่ซ้อนหลังมันดูลอยและหลอกตา แล้วก็เนื้อเรื่องในฉบับนี้ที่ตัดเอามาเพียงบางส่วนของมหากาพย์มาเล่า ซึ่งในมุมมองของการดูหนังก็ค้างคาใจ เพราะมันจบแบบไม่จบ แต่ก็เข้าใจได้นะ ว่าเวลาเขาแสดงโขนสดก็ไม่ได้เล่นตั้งแต่ต้นจนจบอยู่แล้ว ด้านทีมงานผู้สร้างก็ได้ออกตัวตอนให้สัมภาษณ์บนเวทีแล้วว่า หนุมาน เป็น โขนภาพยนตร์ ไม่ใช่ภาพยนตร์โขน ซึ่งหมายความว่า เป็นการนำเอาโขนมาตีความใหม่และนำเสนอในรูปแบบภาพยนตร์ เขาสามารถเดินทางไปได้ไกลและเข้าถึงคนหมู่มากถือว่าทำได้สำเร็จจริง ๆ
ติดให้ *** ครึ่ง