หนังดีติดดาว***
“Phases of the Moon” (เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง Tsuki no Michikake (ดิถีของดวงจันทร์) ว่าด้วยครอบครัวโอซานาอิ ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่แล้วภรรยาและลูกสาวก็ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ วันหนึ่งชายปริศนา อะกิฮิโกะ มิซุมิ ได้เดินทางมาหา เคย์ โอซานาอิ ที่เป็นพ่อของ รูริ และบอกกับเขาว่า ในวันที่เขาเสียภรรยาและลูกสาวไป ทั้งสองคนได้มาหาเขา และ รูริ ได้บอกเขาว่า ตัวเองเคยเป็นคนรักของเขาเมื่อชาติก่อน ทำให้ เคย์ สับสนและออกตามหาความจริง เหล่าผู้คนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน ได้ถูกเชื่อมต่อด้วยสิ่งที่เรียกว่า ความรัก ความจริงที่ผ่านการเดินทางมากับห้วงเวลาหลายทศวรรษ กำลังจะถูกเปิดเผย… ผลงานกำกับของ ริวอิจิ ฮิโรกิ นำแสดงโดย โย โอซึมิ, คาซึมิ อะริมูระ, เรน เมกุโระ
ถึงจะเป็นหนังที่เล่าเรื่องด้วยการย้อนเวลาสลับไปมา แต่ก็ดูเข้าใจง่าย ไม่สับสน ซ้ำแล้วการเล่าเรื่องทำให้ดูสนุก ลุ้นและติดตามตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่เบื่อเลย ซึ่งเอาจริง ๆ หากเล่าแบบเส้นตรงโดยไม่ต้องกลับช่วงเวลาก็ทำได้นะ แต่หนังจะหมดความสนุกไปเลย ส่วนเสน่ห์ก็คือการหยิบประเด็นภพชาติมาเล่าได้ไม่น่าเบื่อ การทำให้คนดูผูกพันกับตัวละครโดยการปูเนื้อเรื่องได้อย่างมีเสน่ห์ยิ่งทำให้ฉากซึ้ง ทำให้มีอาการบ่อน้ำตาแตกได้ง่าย ๆ ก็ไม่แปลก ทั้งความรักระหว่างพ่อกับลูก และความรักระหว่างคู่รัก ซึ่งเป็นหนังที่เหมาะสมกับเทศกาลวาเลนไทน์แท้ พอดูจบเดินออกจากโรงหนังก็จะคิดถึงคนที่คุณรักและอยากดูแลอยู่กับเขาไปนาน ๆ แถมด้วยฉาก Service พาให้สาว ๆ จิกหมอน อีกทั้งเพลงประกอบเพราะๆ ของ John Lennon ก็ชวนให้คิดถึง
ติดให้ ****
“The Son” กำกับ-เขียนบท ฟลอเรียน เซลเลอร์ นำแสดงโดย ฮิว แจ็กแมน, ลอรา เดิร์น, วาเนสซา เคอร์บี, เซน แม็กแกรธว่าด้วยเรื่องราวของ ปีเตอร์ (ฮิว แจ็กแมน) กำลังตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ งานกำลังไปได้สวย พร้อม ๆ กับที่ เบธ (วาเนสซา เคอร์บี) คนรักของเขาเพิ่งให้กำเนิดลูกตัวน้อย แต่ทุกอย่างคล้ายถูกฉุดกระชากเมื่อวันหนึ่ง เคต (ลอรา เดิร์น) ภรรยาเก่าที่เลิกรากันไปมาหาถึงหน้าบ้าน เพื่อเล่าให้ฟังว่า นิโคลัส (เซน แม็กแกรธ) ลูกชายวัยรุ่นของพวกเขากำลังมีปัญหาถึงขั้นอาจต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียน เคตหมดหนทางแก้ไขจึงบากหน้ามาหาปีเตอร์ให้ช่วยจัดการ ซึ่งด้วยหน้าที่พ่อ ปีเตอร์ขอรับนิโคลัสมาอยู่ด้วย และพยายามทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มที่เคยร่าเริง เปี่ยมไปด้วยความฝัน
หนังใช้เวลาปูเรื่องไม่นานด้วยการบอกเล่าปัญหาของเด็กที่เกิดขึ้นในชีวิตเมื่ออาศัยอยู่กับเเม่ จากนั้นก็เริ่มเข้าเนื้อเรื่องหลัก คือการอาศัยอยู่กับครอบครัวใหม่ของพ่อ โดยเน้นเล่าผ่านมุมมองคนเป็นพ่อว่ามีวิธีการรับมือและเเก้ไขลูกตัวเองที่มีพฤติกรรมไม่ไปโรงเรียน เข้าสังคมไม่ได้และชอบทำร้ายตัวเอง โดยหนังค่อย ๆ เล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพ่อเเละเด็ก นอกจากนี้มีการโยนปมให้เกิดคำถามเเละสงสัยกับพฤติกรรมของพ่อเเละเด็กเป็นช่วง ๆ ซึ่งหนังพยายามให้ได้เข้าไปสำรวจจิตใจเเละพฤติกรรมของคนเป็นพ่อที่ต้องรับมือกับเด็กที่มีอาการผิดปกติ เเถมมีการเล่นกับความคาดหวังของผู้เป็นพ่อเเละอีโก้ที่มีในตัวสร้างเเรงกดดันให้ลูกได้เป็นอย่างดี
ติดให้ ***
ภาพยนตร์อะนิเมชันผจญภัยจาก วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส เรื่อง “Mummies” ผลงานจากผู้กำกับฯ ชาวสเปน ทีมนักแสดงที่มาพากย์เสียงอันน่าทึ่ง ได้แก่ โจ โธมัส (“The Inbetweeners”, “White Gold”) เอเลียนอร์ ทอมลินสัน (“The Nevers”, “Jack the Giant Slayer”, “The Illusionist”) ซานติอาโก วินเดอร์ (“The Hope Rooms”) ซีเลีย อิมรี่ (“The Best Exotic Marigold Hotel”, “Mamma Mia! Here We Go Again”) แดน สตาร์คีย์ (“Doctor Who”) ฮิวจ์ บอนเนวิล (“Paddington”, “Downton Abbey”, “Notting Hill”) นักร้อง นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์บันทึกเสียงแชคก้าและฌอน บีน (“Game of Thrones”, “The Martian”, “The Lord of the Rings”) ซึ่งเป็นเรื่องราวการผจญภัยที่สนุกสนานของมัมมี่อียิปต์ทั้ง 3 ที่อยู่ในเมืองใต้ดินอันลึกลับ ซ่อนอยู่ในอียิปต์โบราณ ทั้งสามคือ เจ้าหญิง อดีตคนขับรถม้า และน้องชายของเขาพร้อมด้วยเหล่าจระเข้จิ๋วที่เป็นสัตว์เลี้ยง จากเรื่องราวร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เหล่ามัมมี่ต้องมาลงเอยที่ลอนดอนยุคปัจจุบัน และพบการผจญภัยหลุดโลกอย่างสนุกสนานจากการตามหาแหวนเก่าแก่ของตระกูลกษัตริย์ ที่ถูกลอร์ด คาร์นาบี้ นักโบราณคดีจอมโลภขโมยไป
ดูให้สบายตาสบายใจเหมาะเข้าไปดูกราฟฟิศสวย ๆ ตัวการ์ตูนก็น่ารัก ปมความกลัวของพระเอกที่ตัดสินใจเลิกเป็นสารถีเพราะอุบัติเหตุ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนถ้าความกลัวนั้นฝังใจ แต่ปมนั้นก็หายได้จากความกล้าหาญที่มีอยู่กับตัว และที่สำคัญเพื่อช่วยคนที่รัก หนังสอดแทรกมุกขำ ๆ และสอดแทรกโชคชะตาการเป็นคู่กันแล้วไม่แคล้วเข้าไปด้วย โดยมีน้องชายพระเอกและเจ้าจระเข้จิ๋วเป็นกามเทพ แรก ๆ ทั้งสองเหมือนลิ้นกับฟัน แต่เมื่อมีเรื่องราวที่เกิดจากลอร์ด คาร์นาบี้ นักโบราณคดีที่ขโมยแหวนเก่าแก่ของตระกูลกษัตริย์ไป จึงทำให้พระเอก ที่เป็นอดีตคนขับรถม้า และเจ้าหญิงต้องช่วยกันตามกลับคืนมาจึงออกผจญภัยในโลกไม่คุ้นเคย ที่นั้น เจ้าหญิงก็ได้สานฝันของตัวเองแม้เป็นช่วงสั้น ๆ เพราะเธอมีหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่รออยู่ เรื่องราวไม่มีพิษภัย แถมแทรกข้อคิดดี ๆ และมีบู๊แอ็กชันปนตลก ครั้นจบเรื่องพระเอกและนางเอกก็รู้ใจตัวเอง แต่พอหนังจบยังไม่ลุกรอดูตอนท้ายได้เห็นคู่ของจระเข้จิ๋ว ถือเป็นหนังที่จูงลูกจูงหลานหรือพาแฟนไปดู
ติดให้ ***
“Plane ดิ่งน่านฟ้า เดือดเกาะนรก” จากเห็นทีเซอร์บอกพีอาร์เลยอยากดู เพราะชื่นชอบ เจอร์ราด บัตเลอร์ ประกบคู่ ไมค์ โคลเตอร์ กับเรื่องราวของเครื่องบินที่ต้องบินฝ่าพายุถึงสิบห้านาที แต่แล้วก็ต้องลงจอดฉุกเฉินบนพื้นที่ที่มีผู้ก่อการร้าย และจับทุกคนเป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่ ทำให้กัปตันและผู้ต้องหาต้องร่วมมือกันก่อนทีมช่วยเหลือจะมาถึง
หลายเรื่องที่เห็น เจอร์ราด บัตเลอร์ ในลุคของบอดี้การ์ดประธานาธิบดี แต่เรื่องนี้เขาเป็นกัปตันเครื่องบินพาณิชย์ที่ต้องบังคับเครื่องฝ่าพายุด้วยประสบการณ์ชั่วโมงบินสูงลิ่วจนฝ่าไปได้อย่างฉิวเฉียด เล่นเอาเรานั่งลุ้นจนกลัวเครื่องบินเพราะอินว่าอยู่ในเหตุการณ์นั้น ต้องยกนิ้วให้กราฟฟิคเนียนเกิน และได้เห็นคนคอหักตายจากแรงกระแทกเพราะคิดว่าเอื้อมมือไปคว้ามือถือแป๊บเดียวคงทัน แต่ไม่ทันให้มีชีวิตอยู่ต่อ เมื่อเครื่องลงจอดในเขตที่ผู้ก่อการร้ายครองเกาะ และจับทุกคนเป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่ ตัวละครตัวร้ายถ่ายทอดท่าทาง คำพูดได้โคตรโหด น่ากลัว (อย่าให้เกิดกับตัวเองเลย) ฉากต่อสู้กับคนร้ายพระเอกก็สู้แบบคนเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณของคนที่มีลูกสาวรอเขากลับไปหา แต่คนเก่งคือ ผู้ต้องหาที่ขึ้นมาบนเครื่องต้องช่วยพระเอกสู้ผู้ร้ายและช่วยตัวประกัน เรื่องนี้มีคำพูดที่ประทับใจของกัปตันว่า “ผมต้องพาทุกคนกลับบ้าน ต้องช่วยพวกเขา” เขามีหน้าที่ค้ำคอ ก็เห็นความพยายามจะช่วยเหลือทุกคนให้รอด ได้เห็นมิตรภาพ แม้คน ๆ นั้นติดคดีแต่เมื่อถึงเวลาก็แกล้งมองผ่าน โดยหนังมีครบรส ทั้งความรักของพ่อกับลูกสาว ความรักของเพื่อนร่วมงานที่ไม่ทิ้งกัน และสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่ก่อตัวเวลาอันสั้นพร้อมลุย แม้จะเดาทางหนังได้ แต่สนุกและ มันส์มาก
ติดให้ **** ครึ่ง
ภาพยนตร์เรื่อง “ทิดน้อย” ผลงานกำกับเรื่องล่าสุดของ “เท่ง เถิดเทิง” ตลกตัวพ่อของวงการ ร่วมด้วยนักแสดงนำระดับคุณภาพ อั้ม – พัชราภา ไชยเชื้อ และ อนันดา เอเวอริงแฮม ที่จะมาถ่ายทอดเรื่องราวของความรักของ น้อย ชายหนุ่มบางพระโขนง ที่หลงรัก อีนาก เพื่อนบ้านสาวสวย ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังรักอยู่เสมอ ถึงขนาดมี ไอ้มาก เข้ามาจีบ อีนาก ก็ตาม ทั้งสามคนก็กอดคอกันผ่านความสุข ความทุกข์ ความสนุกสนานไปด้วยกันเสมอ เรื่องของรักสามเส้า มันต้องมีคนหนึ่งที่ต้องเจ็บปวด บทสรุปของความรักและความสัมพันธ์ของคนทั้งสามจะจบลงอย่างไร?
พล็อตเรื่องคือ แม่นากพระโขนง ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี แต่เป็นการตีความด้วยการใส่ตัวละคร ทิดน้อย เข้ามาในตำนาน แล้วเล่าเรื่องให้สนุกสนานแทนที่จะไปเน้นความสยองขวัญ มุกตลกก็มาในสไตล์แก๊งสามช่า ดีกรีความตลกก็ตลกแบบนั้นเลย มีการสร้างสีสันด้วยการเอาดาราเอาเซเลบมาเป็นแขกรับเชิญด้วยการสลับกันเข้ามายิงมุกเรียกรอยยิ้มได้เป็นระยะ ๆ และหนังลำดับเรื่องราวได้ดีมาก ๆ รวมทั้งการตัดต่อและเรียงร้อยเรื่องออกมาได้นุ่มนวล ลื่นไหล ทั้งยังให้เวลากับตัวละครหลักและตัวละครรองได้ดี ถึงแม้หนังมีความยาวไม่ถึง 90 นาที ก็สื่อประเด็นความรักได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ ท่ามกลางความโกลาหลของเรื่องและความตลกโปกฮากลับมีเรื่องของความรักแท้ที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทนเป็นแกนกลางและบอกเล่าน่าประทับใจจริง ๆ ทว่าข้อเสียคือ ถ้าตัดตัวละคร ทิดน้อย ออกไปเรื่องราวทั้งหมดมันก็คือ แม่นากพระโขนง ดี ๆ นี่แหล่ะ ก็เลยกลายเป็นหนังที่เอาจริง ๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวจะเริ่มต้นและจบลงอย่างไร
ติดให้ ***
“สะพานรักสารสิน 2216” เรื่องราวความรักระหว่าง หนุ่มขับรถสองแถวและรับจ้างกรีดยาง กับ นักศึกษาวิทยาลัยครู ที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด โดย พ่อของเธอ ความรักของทั้งคู่มาถึงทางตันเมื่อพ่อบังคับให้ลูกสาวแต่งงานกับคนรวย ทั้งคู่จึงได้หนีไปอยู่ด้วยกันที่เกาะชาวเลแห่งหนึ่ง เส้นทางรักของทั้งคู่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พวกเขาถูกกีดกันให้ต้องแยกจากกัน แต่ด้วยความรักที่ทั้งคู่มีต่อกันอย่างตราตรึงจึงกลายเป็นแรงผลักคันให้ทั้งคู่หาหนทางในการพบเจอกัน เพื่อใช้ชีวิตร่วมกัน จนกลายโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจคนทั้งประเทศจนกลายเป็นตำนานเล่าขานจวบจนปัจจุบัน ที่ถ่ายทอดโดยผู้กำกับพร้อมนำแสดง เอกชัย ศรีวิชัย ซึ่งได้นักแสดง อาทิ ไพศาล ขุนหนู, ณริสสา ดำเนินผล, มงคล สะอาดบุญญพัฒน์, สกุลตลา เทียนไพโรจน์, นาตยา จันทร์รุ่ง, รุ่งรัตน์ ดวงขวัญ
หนังถ่ายภาพสวยมากจนอยากจะเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางล่องใต้ไปเที่ยวกันเลยทีเดียว ไม่แน่ใจว่าใช้โลเคชันไหนในการถ่ายให้เป็นสะพานสารสิน เพราะในปัจจุบันมีสภาพแตกต่างกับเมื่อตอนที่เกิดเหตุไปมาก ถ้าถ่ายที่นั่นก็ต้องใช้ CG ลบความเป็นปัจจุบันออกกันขนานใหญ่ทีเดียว อาจจะเป็นเพราะงานนี้อยู่ภายใต้การกุมบังเหียนของคนใต้ก็เลยถ่ายทอดอะไรต่อมิอะไรออกมาได้อย่างรู้สึกและรู้จริง ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ อาหารการกิน ศิลปวัฒนธรรมทุกอย่างสะท้อนความเป็นปักษ์ใต้ได้อย่างสวยงามและน่าค้นหา ทั้งตัวละครในหนังพูดภาษาใต้กัน 99% ใครไม่ใช่คนใต้ก็ลำบากหน่อย เพราะเชื่อว่าน่าจะฟังไม่ทัน แล้วต้องอ่านซับไตเติ้ลแทน เนื้อเรื่องถ้าจะว่ากันตรง ๆ มันก็น้ำเน่าแหละ เพราะจากที่รู้ ๆ พระกับนางรักกัน แต่ผู้ใหญ่กีดกัน จนสุดท้ายต้องจบด้วยโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจคนไปทั้งประเทศ เรายังเศร้าเลย ซึ่งเส้นเรื่องมีแค่นี้เลย แต่เพิ่มตัวละครให้เข้ามาช่วยพยุงเส้นเรื่องให้มีสีสันมากขึ้นเท่านั้น โดยรวมถือเป็นหนังที่ดูเพลิน ๆ
ติดให้ ****
“PIGGY พิกกี้ อย่าบูลลี่คนอ้วน” เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญสยองขวัญปี 2022 ที่เขียนบทและกำกับโดย Carlota Pereda ที่สร้างจากภาพยนตร์สั้นชื่อเดียวกันในปี 2019 ของเธอ ทีมนักแสดงนำโดย ลอรา กาลัน พร้อมด้วย ริชาร์ด โฮล์มส์, คาร์เมน มาคี, คลอเดีย ซาลาส, ไอรีน เฟอร์เรโร, คามิลล์ อากีลาร์ และ พิลาร์ คาสโตร
ตอนเห็นทีเซอร์ยังคิดเลยว่าจะมีใครดู เพราะเอาคนอ้วนมาเป็นตัวเอก แถมหน้าตาก็แต่งให้น่าถูกบูลลี่อยู่ แต่ก็เหมาะกับชื่อเรื่องที่นางถูกกลั่นแกล้ง ถูกเรียกยัยหมูเน่า หรือสารพัด ฉากน่าสงสารและนางทุ่มเทเล่นโดยพาตัวเองในชุดบิกีนีที่ปิดเนื้อย้วยไม่ได้วิ่งหนีการไล่ตามของพวกขี้แกล้ง เห็นแล้วสะท้อนอารมณ์และความคิดที่ว่า ทุกวันนี้มีการบูลลี่เกลื่อนเมืองไทยและประเทศอื่น ๆ ยิ่งถ้าพวกมากยิ่งหาเรื่องแกล้งและด่าคนที่โดดเดี่ยวหัวเดียวกระเทียมลีบ ก็ภาวนาให้คนจำพวกสมองเท่าช้อนชาหมดไปเร็ว ๆ พอดูหนังเรื่องนี้ตอนแรกสงสารตัวเอก แต่ดู ๆ ไป ก็เออ…สะใจกับการเอาคืนแบบซื่อ ตามด้วยโหดขึ้น ๆ ดีใจกับหนังที่คว้ารางวัลสมแล้ว และอยากให้พวกที่ชอบแกล้งหรือบูลลี่คนอื่นดูไว้ แล้วจำใส่สมองน้อยนิดว่า คิดให้ดีก่อนบูลลี่ใคร ไม่เช่นนั้นจะถูกเอาคืนแบบในหนังก็ได้ ใครจะรู้
ติดให้ *** ครึ่ง
“Gangnam Zombie คังนัมซอมบี้” เป็นผลงานกำกับของ อีซูซอง เล่าเหตุการณ์สุดระทึกเมื่อเหล่าซอมบี้สุดคลั่งออกอาละวาดคร่าชีวิตผู้คน ทุกคนต้องหนีตายเอาตัวรอด เมื่อย่าน คังนัม กลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของไวรัสซอมบี้ “จีอิลจู” (รับบทโดย ฮยอนซอก) หนุ่มที่ฝันอยากเป็นนักกีฬาเทควันโดทีมชาติ เขาเป็นคนที่ทนเห็นคนอื่นโดนเอาเปรียบไม่ได้ “จียอน” (รับบท มินจอง) สาวแกร่งที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด ทั้งคู่ต้องพึ่งพากันฝ่าฝูงซอมบี้หนีตายจากความคลั่งนี้ให้ได้
หนังความยาว 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่จริงควรเป็นคลิป Youtube ความยาว 5 นาทีจบซะมากกว่า จะเอาความตื่นเต้น ระทึก และบีบหัวใจ เพราะอยู่ในสถานที่ปิดเหมือนกับ Train to Busan ก็ทำไม่ได้ และไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากสภาพแวดล้อมนั้นเลยสักนิด หรือจะเอาแอ็กชันลูกเตะเทควันโดทีมชาติก็ดูปลอมทั้งลูกเตะต่อย และการเอาไม้หวดซอมบี้ที่เหมือนฟาดลมซะมากกว่า หรือจะเอาดรามาก็ไม่มีมุมให้รู้สึกอินหรือเหตุผลของตัวละครแต่ละตัวเลย แล้วตัวหลักใช้แค่พระเอกกับนางเอกแค่นั้นแถมบอสซอมบี้ปัญญาอ่อนอีกตัว ซ้ำแล้วจะเอาโรแมนติกก็ดูไม่อินซะเลย โดยเฉพาะฉากพระเอกพูดคำหวานเพื่อเป็นฮีโร่ แต่เพลงประกอบใส่มาได้ไร้รสนิยมมาก และถ้าพูดถึงตอนจบและบทสรุปคนดูคงต้องตะโกนในใจดังๆ ว่า “จบแบบนี้จริงเหรอ เรามาดูอะไรเนี้ย!!!” แต่อย่างเดียวที่ดีคือได้เห็นหน้าสวย ๆ ของ พักจียอน เอาเป็นว่าถ้าใครเป็นแฟนคลับของ จีอิลจู และ พักจียอน ก็แนะนำให้ไปดูกัน
ไม่ติดสักดาว