วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมด้วยทีมบริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหง แถลงข่าว “ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองอธิการบดีรามคำแหงคืนสู่ตำแหน่ง” หลังสภามหาวิทยาลัยถอดถอน ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 3 อาคารวิทยบริการและบริหาร มหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก)
ด้วยศาลปกครองกลางมีหนังสือแจ้งคำสั่งศาล คดีหมายเลขดำที่ บ.362/2565 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ศาลมีคำสั่งคุ้มครองให้ ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ กลับมาปฏิบัติหน้าที่อธิการบดี โดยให้ทุเลาการบังคับตามมติของสภามหาวิทยาลัยที่ได้ถอดถอน ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ ออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และทุเลาการแต่งตั้ง ผศ.ดร.บุญชาล ทองประยูร เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี
จากเหตุการณ์ที่สภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้มีมติเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 ถอดถอน ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ ออกจากตำแหน่งอธิการบดี ด้วยข้อกล่าวหาว่าประพฤติผิดจริยธรรมและจรรยาบรรณในพฤติการณ์ 3 กรณี คือ
1. ผศ.ดร.สืบพงษ์ ให้ความช่วยเหลือนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ซึ่งถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ โดยการรับโอนที่ดินจากนายสุพจน์ จำนวน 2 แปลง และกล่าวอ้างว่าเงินของนายสุพจน์ที่ถูกยึดเป็นของกลางส่วนหนึ่ง คือเงินจำนวน 4,500,000 บาทนั้นเป็นเงินของ ผศ.ดร.สืบพงษ์ เมื่อมีคำพิพากษาให้ที่ดินและเงินของ ผศ.ดร.สืบพงษ์ ตกเป็นของแผ่นดิน ผศ.ดร.สืบพงษ์ไม่ได้รายงานให้มหาวิทยาลัยรามคำแหงซึ่งเป็นต้นสังกัดทราบ สภามหาวิทยาลัยเห็นว่าเป็นการประพฤติผิดต่อพระราชบัญญัติมาตรฐานจริยธรรม พ.ศ. 2562 และเข้าข่ายประพฤติผิดจรรยาบรรณของผู้บริหารตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยรามคำแหงว่าด้วยจรรยาบรรณข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย และลูกจ้าง ม.ร. รวมถึง ผิดพรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547
2. ผศ.ดร.สืบพงษ์ ใช้คุณวุฒิปริญญาเอกที่ไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.พ. มาสมัครเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยตำแหน่งอาจารย์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ ไม่มีฐานะเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยมาแต่แรก และแสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์สุจริต ขาดจริยธรรม
3. ผศ.ดร.สืบพงษ์ ได้ยื่นหนังสือลงวันที่ 1 สิงหาคม 2565 ทูลเกล้าฯ ถวายฎีการ้องทุกข์ โดยบิดเบือนข้อเท็จจริง เป็นการกระทำที่ขาดไร้จริยธรรมและประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
ด้วยสาเหตุดังกล่าว ในการประชุมครั้งนั้นมีมติถอดถอนอธิการบดี และแต่งตั้ง ผศ.ดร.บุญชาล ทองประยูร เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยมีอุปนายกสภามหาวิทยาลัย (ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกสภามหาวิทยาลัย) ลงนามหนังสือแต่งตั้งดังกล่าว และได้เพิกถอนสัญญาจ้าง ผศ.ดร.สืบพงษ์ จากการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยรามคำแหงตามมา
ศาลมีความเห็นว่า กรณีสภามีมติถอดถอน ผศ.ดร.สืบพงษ์ ออกจากตำแหน่ง ควรต้องให้โอกาสเจ้าตัวได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน จึงเป็นการกระทำที่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหากมีมติพิพาทมีผลใช้บังคับต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไข ผศ.ดร.สืบพงษ์ จะเสียโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง
การทุเลาการบังคับของศาลในกรณีนี้จะไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของมหาวิทยาลัยหรือแก่บริการสาธารณะ โดยการปฏิบัติหน้าที่ของอธิการบดีต้องเป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการและของมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสภามหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ศาลยังมีความเห็นว่า การแต่งตั้ง ผศ.ดร.บุญชาล ทองประยูร เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังแก่ ผศ.ดร.สืบพงษ์ โดยอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอธิการบดี อีกทั้งศาลเห็นว่า ผศ.ดร.สืบพงษ์ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอธิการบดีได้ต่อไป
ศาลจึงได้มีคำสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยให้ทุเลาการบังคับตามมติของสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ถอดถอน ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ ออกจากตำแหน่งอธิการบดี และแต่งตั้ง ผศ.ดร.บุญชาล ทองประยูร เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง รวมทั้งทุเลาการบังคับคำสั่งการถอดถอนอธิการบดีออกจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
จากกรณีที่สภามหาวิทยาลัย ไม่ยอมรับการกลับมาทำหน้าที่ของอธิการบดีฯ ตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลนั้น ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ กล่าวทิ้งท้ายว่า ผมยึดหลักขบวนการยุติธรรมในการตัดสิน ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง (วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566) ผมและทีมผู้บริหารพร้อมเดินหน้าปฏิบัติงานทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ตามคำสั่งศาลให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่อธิการบดี’