วันนี้(28 มี.ค.- ที่วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ คณะสงฆ์จีนนิกายรังสรรค์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2) อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี พรรคไทยศรีวิไลย์ นำโดย นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ-หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์,นางสาวภคอร จันทรคณา อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ-รองหัวหน้าพรรค ,นายศยุน ชัยปัญญา เลขาธิการ ,นายสรกฤช จันทรคณา โฆษกพรรค ,,นางสาวอริญรดา สาระชัย นายทะเบียนพรรค ,นางสาวอรศศิพัชร์ มามีเกตุรัตน์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค,ดร.อนวรรช ศรีคำเงิน กรรมการบริหารพรรค,นายอนุรักษ์ อมรเมตตาจิต ผู้ช่วยเลขาธิการพรรค,นางสาวกฤษยากร สรชัย ผู้ช่วยเหรัญญิกพรรค ร่วมลงพื้นที่ งานกาชาดอำเภอบางบัวทอง หน้าวัดเล่งเน่ยยี่ 2 โดยมีประชาชนที่มาร่วมเข้ามาทักทายพูดคุยและขอถ่ายรูปอย่างเป็นเอง
โดยนายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ขณะนี้การเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งของพรรคฯ ก็ถือว่า ก้าวหน้าไปอย่างมาก โดยเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา (25 – 26 มีนาคม) ทางพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เพื่อสักการะท้าวสุรนารี (ย่าโม) เพื่อความเป็นสิริมงคลและเป็นขวัญกำลังใจในการสู้ศึกเลือกตั้ง ต่อจากนั้น ได้เดินชมงานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี หรืองานย่าโม ประจำปี 2566 ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ซึ่งมีประชาชนได้ให้ความสนใจและสอบถามถึงนโยบายพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นอย่างมาก และได้จัดการประชุมใหญ่สามัญ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2566 ณ หอประชุมมูลนิธิพรหมธรรมสถานสงเคราะห์สีคิ้ว ซึ่งสมาชิกพรรคและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมประชุมอย่างล้นหลาม และในวันนี้ ตนและทีมงาน ก็ได้มางานกาชาดอำเภอบางบัวทอง โดยประชาชนที่มาร่วมงานต่างพอใจที่ได้ทักทายและเข้าหาตนอย่างไม่มีพิธีรีตอง ซึ่งถือเป็นการให้ความสบายใจให้กับประชาชน เพราะสถานะตนและคนอื่นๆ ในพรรค ขณะนี้ ถือว่า เป็นประชาชนคนธรรมดาเหมือนกัน ไม่ใช่บางคนที่ยังแบกยศศักดิ์ไปไหนต่อไหน และคอยกีดกันไม่ให้คนอื่นที่คิดไม่เหมือนเขานั้น ได้มาใกล้ชิดอีกด้วย
นายมงคลกิตติ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนที่มีการประกาศรายชื่อว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไปแล้ว 30 ชื่อนั้น ยืนยันอีกครั้งว่า ทางพรรคฯ จะส่งครบ 100 คน แน่นอน เพราะในเมื่อจะก้าวไปสู่ความเป็นพรรคขนาดกลางที่เป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ก็ต้องกล้าให้ประชาชนพิจารณาว่า รายชื่อในบัญชีของพรรคไทยศรีวิไลย์ เป็นคนที่มีความพร้อมในการทำงานไม่ว่าจะในสถานะใด อย่างเช่นตนที่นอกจากประกาศอย่างมั่นใจว่า จะลงในลำดับที่ 1 และจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้คนไทยทั้งประเทศพิจารณาตัดสินใจ ซึ่งหลังจากการเลือกตั้งหากว่าผมไม่ได้เป็นนายกฯ หรือเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็จะพร้อมที่จะทำงานตรวจสอบเหมือนกับ 4 ปีที่ผ่านมา แต่ตนเห็นว่า นักการเมืองบางคนยังทำตัวชักเข้าชักออก เพราะมีเงื่อนไขเดียวคือการเป็นนายกรัฐมนตรี โดยปล่อยกระแสประเภทโยนหินถามทางไปเรื่อยๆ ซึ่งกองเชียร์หลายคนก็ยุให้ลงบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ไปเลย จะได้สมศักดิ์ศรี แต่ดูเหมือนว่า จะถอดใจเพราะกลัวว่า อาจจะไปเป็นผู้นำฝ่ายค้าน หรืออาจจะอายตัวเองก็ได้ว่า ไปยึดอำนาจประชาชนมา และต้องมาทำงานร่วมกับตัวแทนประชาชนในสภาเป็นคณะกรรมาธิการในชุดต่างๆ คงจะรู้สึกอึดอัดน่าดู ดังนั้น ผมจึงขอแนะนำว่า ถ้าจะให้ประชาชนพิจารณาว่า สมควรให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจนถึงวันที่ 5 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดหรือไม่ ก็ต้องลงเลือกตั้งอย่างสมศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย เพราะนอกจาก เป็นการแสดงให้เห็นว่า เป็นผู้ที่รักประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมความสง่างามให้เกิดขึ้นตัวเอง ไม่ใช่ต้องอาศัยมาตราพิเศษเพื่อสืบทอดอำนาจอีกด้วย
“ในช่วงที่เข้าใกล้สู่โหมดการเลือกตั้งเต็มรูปแบบนั้น ผมและทีมงานพรรคไทยศรีวิไลย์ ก็ลงพื้นที่หาเสียงแนะนำนโยบายสำคัญๆ เพื่อให้ประชาชนรับทราบว่า ถ้าพรรคไทยศรีวิไลย์ได้เป็นรัฐบาล จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร จะหาเงินเพิ่มให้ประเทศทางไหน และจะจัดสรรให้กับกลุ่มเปราะบางอย่างไร โดยเฉพาะที่ฮือฮากันมากก็คือ การประกาศเพิ่มเงินเพิ่มสิทธิ์ให้กับผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือนละ 3,000 บาท เพราะเชื่อว่า พรรคไทยศรีวิไลย์สามารถหาเงินได้ครบตามที่ประกาศไว้ โดยทุกพื้นที่ที่ผมเดินหาเสียงไปนั้น มีประชาชนจำนวนมากมาขอถ่ายรูปและทักทายให้กำลังใจผมมาก ซึ่งถือเป็นกำลังใจในการเดินหน้าทำงานการเมืองต่อไป ขณะเดียวกัน ผมยังได้ฟิตซ้อมร่างกายกับคุณกุ้งพลอย โดยจะเตรียมว่าย ตรงประตูระบายน้ำคลองลาดกระบัง เพื่อทดสอบก่อนว่ายข้ามเจ้าพระยา ที่ จ.อ่างทอง เพราะเราต้องการทวงเงินเยียวยาน้ำท่วมให้กับประชาชนผู้ประสบภัย เนื่องจากที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีการดำเนินการเยียวยามาบ้างแล้ว แต่รู้สึกไม่ได้สมเหตุสมผลเท่าใดนัก จึงต้องมีการว่ายน้ำเพื่อทวงเงินเยียวยาเพิ่มเติม รวมทั้ง ยังได้มีการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง ทั้ง ส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อ โดยเฉพาะตัวผมเองที่ประกาศว่าพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชน แต่นักการเมืองบางคนเอง กลับยังกล้าๆกลัวๆ ทั้งๆ ที่มีเสียงเชียร์ทั้งประเทศให้ลงบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 1 เพื่อให้สมศักดิ์ศรี เพราะคราวที่แล้วยังละล้าละลัง เพราะยังเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร แต่คราวนี้ถ้าอยากพิสูจน์ว่า ไม่ได้เป็นเผด็จการอย่างที่ใครๆเขาว่า ก็ต้องลงมาสมัครเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับ 1 เหมือนกับตัวผมเองด้วย” นายมงคลกิตติ์ กล่าว